'มัลลิกา' สั่ง บขส.ปรับตัวสู้เอกชน คาดปีหน้าพลิกทำกำไรในรอบ 7 ปี

“มัลลิกา” มอบนโยบาย บขส. สั่งยกระดับการให้บริการให้เหมือนเอกชน มั่นใจหลังจัดหารถโดยสารใหม่ 311 คัน จะดันองค์กรพลิกทำกำไรในรอบ 7 ปี
นางสาวมัลลิกา จิระพันธุ์วาณิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังประชุมมอบนโยบายและตรวจเยี่ยม บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) วันนี้ (17 ต.ค. 2568) โดยระบุว่า ได้มอบหมายให้ บขส. ยกระดับบริการประชาชนให้สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย และยกระดับการให้บริการให้เสมือนเป็นเอกชน ที่จะต้องดึงดูดผู้โดยสารมาใช้บริการ พร้อมมุ่งสร้างรายได้ให้มากขึ้น
ขณะเดียวกัน บขส.จะเข้าร่วมโครงการ “คนละครึ่งพลัส” เพื่อลดค่าครองชีพประชาชน พร้อมกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวในช่วงปลายปีนี้ โดยตนได้สั่งการให้ บขส.เตรียมความพร้อมรถโดยสารให้เพียงพอ พร้อมทั้งประสานกับรถบริการร่วมเอกชนให้สนับสนุนการเข้าร่วมโครงการดังกล่าว โดยขณะนี้ได้มอบหมายให้กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ไปดำเนินการรวบรวมผู้ประกอบการที่ประสงค์จะเข้าร่วมโครงการทั้งหมด ก่อนที่จะเปิดให้ประชาชนได้ใช้โครงการเริ่ม 29 ต.ค.นี้
ด้านนายอรรถวิท รักจำรูญ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บขส. กล่าวว่า บขส.เตรียมพร้อมเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งพลัส ซึ่งถือเป็นการเข้าร่วมโครงการลดค่าครองชีพประชาชนเป็นครั้งแรก โดย บขส.มั่นใจว่าจะมีผู้โดยสารใช้บริการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ และขณะนี้ได้เตรียมรถโดยสารรองรับการใช้บริการแล้ว แต่หากไม่เพียงพอจะประสานไปยังรถบริการร่วมเอกชนเพื่อรองรับการเดินทางเพิ่มเติม เบื้องต้นประเมินว่าจะมีรถโดยสารพร้อมให้บริการในระบบกว่า 6,000 คัน
ส่วนความคืบหน้าโครงการเช่ารถโดยสาร จำนวน 311 คัน ซึ่งมีบริษัท อิทธิพร อิมปอร์ต จำกัด เป็นคู่สัญญา ระยะเวลาเช่า 5 ปี วงเงินกว่า 3,018 ล้านบาท ปัจจุบัน บขส. รับมอบรถโดยสารใหม่มาแล้ว จำนวน 3 คัน ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างดำเนินการ ตามแผนจะทยอยส่งมอบรถโดยสารแบ่งเป็น 3 งวด ประกอบด้วย งวดแรกจะรับรถโดยสาร จำนวน 90 คัน ภายในเดือน ต.ค.นี้ จากนั้นงวดที่ 2 และงวดที่ 3 จะรับมอบรถโดยสารเฉลี่ยเดือนละ 100 กว่าคัน โดยจะครบ 311 คันภายใน ธ.ค. 2568
อย่างไรก็ดี บขส.มั่นใจว่าเมื่อมีรถโดยสารใหม่เข้ามาให้บริการแล้ว จะส่งผลบวกต่อภาพรวมการดำเนินงาน โดยคาดว่าผลการดำเนินงานในปี 2569 จะมีรายได้กว่า 3,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2568 ที่มีรายได้ 2,200 ล้านบาท และจะมีกำไรประมาณ 30 ล้านบาท จากในปีที่ผ่านมาขาดทุนประมาณ 100 กว่าล้านบาท ซึ่งถือว่าในปี 2569 จะกลับมากำไรในรอบ 7 ปี นับตั้งแต่ช่วงสถานการณ์โควิด-19
สำหรับโดยรถโดยสารใหม่ที่จะนำมาให้บริการมีขนาดความยาว 12 เมตร 3 มาตรฐาน ได้แก่
1.รถโดยสารปรับอากาศชั้น 1 VIP (ม.1ก) จำนวน 24 ที่นั่ง
2.รถโดยสารปรับอากาศ ชั้น 1 พิเศษ (ม.1พ) จำนวน 32 ที่นั่ง
3.รถโดยสารปรับอากาศชั้น 1 (ม.1ข) จำนวน 36 ที่นั่ง
ซึ่งรถโดยสารใหม่นี้จะใช้เครื่องยนต์มาตรฐาน Euro 5 ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ช่วยลดมลพิษทางอากาศ และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง มีระบบความปลอดภัยครบครัน อาทิ ระบบ GPS กล้อง CCTV และภายในรถจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย เช่น ห้องน้ำ ช่องเก็บสัมภาระ ช่องเสียบ USB สำหรับชาร์จไฟ และบริการ WiFi ฟรี







