ส่อง 4 มาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวรัฐบาล 'คลัง' จ่อชง ครม.หนุนเพิ่ม GDP ปี 68 - 69

เปิดรายละเอียดลดหย่อนภาษี 4 มาตรการใหญ่ ชงครม.21 ต.ค. กระตุ้นท่องเที่ยวช่วงไฮต์ซีซั่น ครอบคลุมสิทธิ์ลดหย่อนภาษี ที่พัก อาหาร เร่งเบิกงบฝึกอบรม สัมนา เพิ่มจีดีพีไทย
KEY
POINTS
- เปิดรายละเอียดลดหย่อนภาษีสนบสนุ่นการท่องเที่ยว 4 มาตรการใหญ่เข้าครม.21 ต.ค.
- ชี้เป็นแผนกระตุ้นท่องเที่ยวช่วงไฮต์ซีซั่น ครอบคลุมสิทธิ์ลดหย่อนภาษี โดยจังหวัดเมืองรองได้ 1.5 เท่า
- เร่งเบิกงบฝึกอบรมสัมนาหน่วยงานภาครัฐ - รัฐวิสาหกิจ
- จูงใจสถานบันเทิง โรงแรมลงทุนปรับปรุงใหม่ โดยใช้ซอฟต์โลนจากออมสินหมื่นล้าน
- คาดช่วยเพิ่มจีดีพีปี 2568 ราว 0.05-0.06% และส่งต่อไปในปี 2569 สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนหลายหมื่นล้านบาท
แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาลเปิดเผยว่าการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 21 ต.ค.กระทรวงการคลัง จะเสนอมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศเพื่อกระตุ้นภาคการท่องเที่ยว รวม 4 มาตรการ ซึ่งที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ(ครม.เศรษฐกิจ)นัดแรกได้เห็นชอบแล้ว หลังวิเคราะห์พบว่า การท่องเที่ยวภายในประเทศของปี 2567 มีมูลค่าทางเศรษฐกิจอยู่ที่ 1.58 ล้านล้านบาท คิดเป็น 24% ของการบริโภคภาคเอกชน และ 14 %ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(จีดีพี) แต่ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2568 จำนวนนักท่องเที่ยวชาวไทยขยายตัวเพียง 2.7% ต่อปี ชะลอตัวลงอย่างมากจากปี 2567 ที่ขยายตัว 8.4% ต่อปี
และข้อมูลสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมระบุว่า ผู้ประกอบการที่พักแรมทั่วประเทศ 42,227 ราย โดย 45% หรือ 19,033 ราย ตั้งอยู่ในจังหวัดท่องเที่ยวรอง 55 จังหวัด ซึ่งกว่า 80% เป็นผู้ประกอบการรายย่อยที่มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจฐานรากและการจ้างงานในพื้นที่ สำหรับ 4 มาตรการ ที่จะเสนอเข้าสู่ที่ประชุม ครม.จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวไปยังจังหวัดท่องเที่ยวรองมากขึ้น การวิเคราะห์ผลกระทบทางเศรษฐกิจคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจปี 2568 จะขยายตัวเพิ่มขึ้นช่วง 0.05-0.06% เมื่อเทียบกับกรณีที่ไม่มีการดำเนินมาตรการ และปี 2569 จะขยายตัวเพิ่มขึ้นช่วง 0.03-0.04%
โดยมีรายละเอียดของมาตรการ 4 ข้อ ได้แก่
1. มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว ดำเนินการตั้งแต่ วันที่ 29 ต.ค.- 15 ธ.ค.2568 ให้ผู้มีเงินได้บุคคลธรรมดานำค่าที่พักในโรงแรม โฮมสเตย์ไทย หรือสถานที่พักที่ไม่เป็นโรงแรม และค่าบริการร้านอาหารที่จ่ายให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม มาหักลดหย่อนได้สูงสุด 20,000 บาท แบ่งเป็น 10,000 บาทแรก ใช้ใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปในรูปแบบกระดาษหรืออิเล็กทรอนิกส์ และ10,000 บาทที่เหลือ ต้องใช้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) เท่านั้น ทั้งนี้ อัตราการลดหย่อนท่องเที่ยวในจังหวัดท่องเที่ยวรอง 55 จังหวัด และบางอำเภอใน 15 จังหวัด ลดหย่อนได้ 1.5 เท่า ส่วนจังหวัดอื่นลดหย่อนได้ 1 เท่า คาดว่าจะมีผู้ใช้สิทธิประมาณ 140,000 คน มูลค่ารวม 2,800 ล้านบาท รัฐบาลจะสูญเสียรายได้ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 420 ล้านบาท
2.มาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายด้านการฝึกอบรม (Front Load) ระยะเวลาดำเนินการเดือน ต.ค. 2568 - ม.ค. 2569 ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เร่งเบิกค่าใช้จ่ายด้านการฝึกอบรม ประชุม สัมมนาในส่วนของการพัฒนาบุคลากรไม่น้อยกว่า 60% ของวงเงินที่ตั้งไว้ โดยให้พิจารณาจัดในเมืองท่องเที่ยวภายในประเทศ โดยเฉพาะจังหวัดท่องเที่ยวรองเป็นลำดับแรก กำหนดให้การขับเคลื่อนมาตรการนี้เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดผลการปฏิบัติราชการ (KPI) ประจำปีงบประมาณ 2569 ของหัวหน้าส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และ อปท.
โดยให้รายงานผลการเบิกจ่ายต่อคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐ นอกจากนี้ มอบหมายให้กระทรวงการคลังโดยกรมบัญชีกลางพิจารณาทบทวนความเหมาะสมของอัตราค่าเช่าที่พักและค่าอาหารสำหรับการจัดฝึกอบรมในประเทศให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน
3.ขยายระยะเวลาปรับลดอัตราภาษีสถานบันเทิง ระยะเวลาดำเนินการวันที่ 1 ม.ค. - 31 ธ.ค. 2569 ขยายเวลาปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตจาก10 %เป็น 5 % ออกไปอีก 1 ปี สำหรับกิจการบันเทิงหรือหย่อนใจ ประเภทที่ 17.01 ได้แก่ ไนต์คลับ ดิสโกเธค ผับ บาร์ ค็อกเทลเลาจน์
รวมถึงสถานที่จำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่จัดให้มีการแสดงดนตรีหรือการแสดงอื่นใดเพื่อการบันเทิง ซึ่งปิดทำการหลังเวลา 24.00 น. มาตรการนี้จะส่งผลให้กรมสรรพสามิตจัดเก็บรายได้ภาษีลดลง 219.55 ล้านบาทต่อปี
4.มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงโรงแรมที่พัก ระยะเวลาดำเนินการวันที่ 29 ต.ค. 2568 - 31 มี.ค. 2569 ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ประกอบกิจการโรงแรม หักรายจ่ายการต่อเติม เปลี่ยนแปลง ขยายออก หรือทำให้ดีขึ้นซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับกิจการได้ 2 เท่า แต่ไม่ใช่การซ่อมแซมให้คงสภาพเดิม) โดยยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับเงินได้เป็นจำนวน 100 % ของรายจ่ายดังกล่าว
โดยทรัพย์สินที่ได้รับสิทธิประโยชน์ ได้แก่ อาคารถาวรที่ใช้ในการประกอบกิจการโรงแรม เครื่องตกแต่งหรือเฟอร์นิเจอร์ที่เป็นส่วนประกอบและยึดติดกับอาคารเป็นการถาวร สิทธิประโยชน์นี้ให้ใช้ตามส่วนเฉลี่ยเป็นจำนวนเท่ากันเป็นเวลา 20 รอบระยะเวลาบัญชีต่อเนื่องกัน (ทยอยหักรายจ่ายเท่าที่ 2 เป็นระยะเวลา 20 รอบระยะเวลาบัญชี) คาดว่าจะมีโรงแรมลงทุนปรับปรุงประมาณ 1,200 ราย มูลค่าการลงทุนรวม 24,000 ล้านบาท รัฐบาลจะสูญเสียรายได้ภาษีเงินได้นิติบุคคลประมาณ 240 ล้านบาทต่อปี เป็นระยะเวลา 20 ปี รวมทั้งสิ้น 4,800 ล้านบาท
ทั้งนี้ สถาบันการเงินเฉพาะกิจ จะจัดทำโครงการสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการโรงแรมและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) มีโครงการค้ำประกันสินเชื่อให้ และกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างพิจารณาโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ GSB พลิกฟื้นธุรกิจไทย ของธนาคารออมสิน วงเงิน 100,000 ล้านบาท โดยแบ่ง 10,000 ล้านบาท เพื่อฟื้นฟูและปรับปรุงธุรกิจท่องเที่ยว รวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวข้อง







