เปลี่ยนโลกสูงวัยผ่านเลนส์ Silver Economy | วาระทีดีอาร์ไอ

ประเทศไทยเป็นสังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์แล้ว และคาดว่าจะก้าวสู่สังคมสูงวัยระดับสุดยอดในปี 2576 ในขณะที่วัยแรงงานและวัยเด็กจะมีสัดส่วนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม แต่ยังก่อให้เกิดโอกาสใหม่ในรูปของ “เศรษฐกิจสูงวัย” หรือ Silver Economy ซึ่งครอบคลุมทั้งกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ตอบสนองความต้องการสินค้าและบริการของผู้สูงอายุในฐานะผู้บริโภค รวมทั้งกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากการทำงานของผู้สูงอายุในฐานะผู้ผลิต
จากการศึกษาเศรษฐกิจสูงวัยของไทยในปี 2566 พบว่า มีการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคสำหรับผู้สูงอายุกว่า 2.18 ล้านล้านบาท โดยเป็นรายจ่ายเพื่อการบริโภคจากภาครัฐ 6.6 แสนล้านบาท ซึ่งกว่าครึ่งเป็นรายจ่ายด้านสุขภาพ ขณะที่รายจ่ายเพื่อการบริโภคจากภาคเอกชน 1.52 ล้านล้านบาท
ในหมวดสินค้าและบริการที่สำคัญ ได้แก่ อาหาร ที่อยู่อาศัย ยานพาหนะและการเดินทาง การท่องเที่ยว ค่าใช้จ่ายอื่นๆ การเงิน ค่าใช้จ่ายส่วนบุคคล แฟชั่น เทคโนโลยีและการสื่อสารและสุขภาพ
ขณะเดียวกันผู้สูงอายุยังมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ รายได้ของกลุ่มนี้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยส่วนใหญ่มาจากค่าจ้างและการประกอบอาชีพอิสระ โดยเฉพาะภาคเกษตรกรรมและแรงงานนอกระบบ ประกอบกับอายุคาดเฉลี่ยและการมีสุขภาพดีเพิ่มขึ้น
แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของผู้สูงอายุในการทำงานและสร้างรายได้ต่อเนื่องได้ยาวนานขึ้น แต่กระนั้นผู้สูงอายุจำนวนมากไม่มีเงินออมที่เพียงพอ และบางส่วนมีภาระหนี้สิน ในขณะที่เงินโอนจากภาครัฐมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
แนวโน้มและการเปลี่ยนแปลงในอนาคต
คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสูงวัยจะขยายตัวเป็น 3.5 ล้านล้านบาทในปี 2576 หรือเฉลี่ย 4.83% ต่อปี โดยผู้สูงอายุจะเพิ่มเป็น 18.38 ล้านคน ในจำนวนนี้ยังมีส่วนร่วมในการทำงาน 6.6 ล้านคนหรือ 37% ของผู้สูงอายุทั้งหมด ซึ่งจะสร้างรายได้มูลค่า 8.8 แสนล้านบาท ในเชิงโอกาสทางธุรกิจมีหลายสาขาที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง
ได้แก่ การดูแลผู้สูงอายุทั้งในศูนย์ดูแลและที่บ้าน การดูแลผู้ป่วยระยะท้าย ตลาดอุปกรณ์สุขภาพ อาหารเพื่อสุขภาพและโภชนาการเฉพาะกลุ่ม รวมถึงการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ รวมถึงตลาดการเงินและประกันภัย โดยเฉพาะประกันชีวิตแบบบำนาญและผลิตภัณฑ์ Reverse Mortgage
นอกจากนี้ ผู้สูงอายุเองยังสามารถสร้างมูลค่าผ่านการทำงานในหลายรูปแบบ ทั้งในอาชีพดั้งเดิม เช่น เกษตรกรรมและค้าปลีก ไปจนถึงอาชีพใหม่ที่เกิดขึ้นจากกระแส Soft Power และ Green Jobs รวมถึงการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อสร้างรายได้ เช่น การเป็น Silver Influencer สะท้อนว่าผู้สูงอายุไม่ได้เป็นเพียงผู้รับสวัสดิการ แต่ยังสามารถเป็นพลังทางเศรษฐกิจที่สำคัญ
บทเรียนจากต่างประเทศ
กลุ่มประเทศที่มีรายได้สูง มุ่งใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อรองรับสังคมสูงวัย เช่น สิงคโปร์มีแพลตฟอร์ม Agency for Integrated Care (AIC) เป็นศูนย์กลางข้อมูลเพื่อสนับสนุนผู้ดูแลและผู้สูงอายุให้เข้าถึงการดูแลได้อย่างมีประสิทธิภาพ สหรัฐ เน้นบทบาทภาคเอกชนในการผลิตสินค้าและบริการสำหรับผู้สูงอายุ
กลุ่มยุโรปส่งเสริมการสูงวัยอย่างมีสุขภาพดีผ่านโครงการ EIP on AHA มุ่งพัฒนาสินค้านวัตกรรมและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรม ญี่ปุ่นจัดตั้ง Silver Human Resource Center (SHRC) เพื่อเป็นกลไกหลักในการสนับสนุนการจ้างงานผู้สูงอายุ
ขณะที่กลุ่มประเทศที่มีรายได้ปานกลางระดับบน ได้แก่ จีนและมาเลเซีย มุ่งเน้นการหนุนเสริมพฤฒพลัง (active ageing) และสุขภาพของประชากร เช่น จีนออกมาตรการ Elderly-Friendly Product Certification และกำหนดมาตรฐานสินค้าเพื่อผู้สูงอายุ
ควบคู่กับการกระตุ้นให้ผู้สูงอายุมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจมากขึ้น ทั้งในรูปของการจ้างงานและการทำงานอาสาสมัคร ส่วนมาเลเซีย เน้นการลดความเหลื่อมล้ำโดยส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีรายได้ มุ่งสร้าง Community Care Economy
ดังนั้น เพื่อไม่ให้ประเทศไทยพลาดโอกาสครั้งใหญ่ในการเปลี่ยนพลังของผู้สูงอายุให้กลายเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจ คณะผู้วิจัยทีดีอาร์ไอ มีข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อการสนับสนุนเศรษฐกิจสูงวัย ดังนี้
1.ขยายตลาดและคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ ในฐานะผู้บริโภค ประกอบด้วย อาหารและโภชนาการ พัฒนามาตรฐานสินค้าและระบบรับรอง ควบคู่กับนวัตกรรมอาหารเฉพาะโรค สนับสนุน SMEs ให้แข่งขันได้ ที่อยู่อาศัย ส่งเสริมการปรับปรุงบ้านตามหลัก Universal Design และสร้างที่พักเฉพาะกลุ่ม เช่น ผู้มีภาวะสมองเสื่อม หรือโรคเรื้อรัง รวมถึงศูนย์ดูแลระยะสุดท้ายที่มีมาตรฐาน
สุขภาพ ลดการพึ่งพาสินค้านำเข้า สนับสนุนการผลิตในประเทศ ตั้งแต่อุปกรณ์พื้นฐานจนถึงเทคโนโลยีล้ำสมัย เช่น หุ่นยนต์กายภาพ พร้อมแก้ปัญหาการขาดแคลนบุคลากร
นันทนาการและการท่องเที่ยว ยกระดับคุณภาพการเดินทาง–สิ่งอำนวยความสะดวก และพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อความบันเทิงและการมีส่วนร่วมทางสังคม และกลุ่มเฉพาะ ออกแบบนโยบายที่ตอบโจทย์สตรี และ LGBTQIAN+ ครอบคลุมทุกมิติ
2.เพิ่มขีดความสามารถการผลิตและแรงงานสูงอายุในฐานะผู้ผลิต ประกอบด้วย การใช้กลไก Re-employment แบบสิงคโปร์และญี่ปุ่น เปิดโอกาสให้ทำงานต่อหลังเกษียณในรูปแบบยืดหยุ่น พร้อมโครงการ reskill/upskill และสิทธิประโยชน์ทางการเงิน
ส่วนเกษตรกรสูงวัย ควรสนับสนุนเทคโนโลยีเกษตรสมัยใหม่ เกษตรอินทรีย์ และการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ควบคู่กับสินเชื่อและเพิ่มช่องทางตลาด สำหรับผู้ประกอบการสูงวัย ควรส่งเสริมธุรกิจใหม่ และสนับสนุนการรวมกลุ่มเป็นวิสาหกิจชุมชนและเชื่อมโยง OTOP
ขณะที่แรงงานนอกระบบ ควรสนับสนุนอาชีพใหม่ เช่น มัคคุเทศก์ท้องถิ่น บริการชุมชน และผู้ผลิตคอนเทนต์ดิจิทัล เพื่อขยายโอกาสและสร้างความมั่นคง
โดยกรอบการดำเนินงานแบ่งออกเป็น ระยะสั้น (1-3 ปี) เน้นการสร้างผลลัพธ์ที่จับต้องได้ เช่น การออกมาตรฐานสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุ ปรับกฎหมายแรงงานเพื่อรองรับการจ้างงานผู้สูงอายุและการจัดทำโครงการฝึกทักษะใหม่ รวมถึงการใช้มาตรการทางการเงินเพื่อกระตุ้นการลงทุน
ขณะที่ระยะยาว (4-10 ปี) เน้นการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน เช่น การพัฒนาระบบนิเวศนวัตกรรมด้านอาหาร เครื่องมือแพทย์ และเทคโนโลยีสุขภาพ การปฏิรูประบบสวัสดิการผู้สูงอายุให้ครอบคลุมและยืดหยุ่น ตลอดจนการจัดตั้ง Silver Human Resource Center เพื่อเป็นกลไกกลางในการบริหารแรงงานสูงวัยอย่างเป็นระบบ
ประเทศไทยกำลังเดินอยู่บนเส้นทางที่ผู้สูงอายุไม่ใช่เพียงกลุ่มเปราะบาง แต่คือ “พลังเงียบ” ที่รอการปลดล็อก หากกำหนดนโยบายได้ถูกทิศ เศรษฐกิจสูงวัยจะเป็นขุมพลังใหม่ที่ทำให้มั่นใจได้ว่าผู้สูงอายุของไทยสามารถดูแลตัวเองได้และใช้ชีวิตในบั้นปลายอย่างมีศักดิ์ศรี







