‘เอฟทีเอไทย–EFTA’ใบเบิกทาง มาตรฐาน-โอกาสใหม่‘การค้า-การลงทุน’

ความตกลงการค้าเสรี (Free Trade Agreement : FTA) ระหว่างไทย กับ “เอฟตา” หรือ สมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (European Free Trade Associations : EFTA)ประกอบด้วยสมาชิก 4 ประเทศ ได้แก่ สวิตเซอร์แลนด์ ,นอร์เวย์ ไอซ์แลนด์ และลิกเตนสไตน์
นับเป็น FTA ฉบับแรกของไทย-ยุโรป จากปัจจุบันทำให้ไทยมี FTA ทั้งหมด 16 ฉบับ กับ 23 ประเทศ/เขตเศรษฐกิจโดย EFTA ดำเนินการเจรจามา 2 ปี และเป็น FTA ที่มีมาตรฐานใหม่ยกไปอีกระดับหนึ่งทำให้เราขยายโอกาสการเจรจาสู่ FTA กับอียู
ตามสถิติพบว่า ในช่วง 11 เดือนของปี 2567 (ม.ค.-พ.ย.) ไทย และ EFTA มีมูลค่าการค้ารวม11,467.03 ล้านดอลลาร์ สัดส่วน 2.05% ของการค้าทั้งหมดของไทยกับโลก มีศักยภาพการขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 24.94%
โดยไทยส่งออกไปยัง EFTA มูลค่า 4,121.84 ล้านดอลลาร์ และนำเข้า 7,345.20 ล้านดอลลาร์ มีสินค้าส่งออกสำคัญ 5 อันดับแรก ได้แก่ (1) อัญมณีและเครื่องประดับ (2) นาฬิกาและส่วนประกอบ (3) เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ (4) อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป และ (5) เครื่องใช้สำหรับเดินทาง
สินค้านำเข้าสำคัญ 5 อันดับแรก ได้แก่ (1) เครื่องเพชรพลอยอัญมณี เงินแท่งและทองคำ (2) นาฬิกาและส่วนประกอบ (3) เนื้อสัตว์สำหรับการบริโภค (4) ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม และ (5) ปุ๋ยและยากำจัดศัตรูพืชและสัตว์
เมื่อเร็ว ๆ นี้ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.)ร่วมเวทีส่งเสริมการค้าและการลงทุนไทย–สวิตเซอร์แลนด์ และหารือความร่วมมือกับหน่วยงานเศรษฐกิจสำคัญของสวิตเซอร์แลนด์
ทั้งนี้ สกพอ. ได้เข้าร่วมงานสัมมนา “Unlock Thailand - Focus on Thailand: How Swiss companies benefit from the EFTA lead” ซึ่งจัดโดยสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเบิร์น ร่วมกับ Swiss-Asian Chamber of Commerce และ Switzerland Global Enterprise (S-GE) โดยมีผู้บริหารระดับสูงจากภาคเอกชนสวิตเซอร์แลนด์กว่า 40 คนเข้าร่วมงาน
งานสัมมนาดังกล่าว มุ่งเน้นการให้ข้อมูลและเปิดมุมมองใหม่เกี่ยวกับโอกาสทางการค้าการลงทุนระหว่างไทย–สวิตเซอร์แลนด์ ภายใต้กรอบความตกลงการค้าเสรีไทย–EFTA ซึ่งลงนามแล้วเมื่อต้นปี 2568 และคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ต้นปี 2570 โดยข้อตกลงดังกล่าวจะเป็นกลไกสำคัญในการขยายการลงทุน การค้าสินค้าและบริการขั้นสูง และการเคลื่อนย้ายแรงงานฝีมือระหว่างสองประเทศ
ทั้งนี้ สกพอ. ในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนสวิตเซอร์แลนด์ พร้อมส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตและศูนย์กลางบริการสำหรับตลาดเอเชีย–ยุโรป โดยใช้ข้อตกลง FTA ไทย–EFTA และระบบนิเวศการลงทุนของเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก( EEC) เป็นเครื่องมือสำคัญในการดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง บริการมูลค่าสูง อาหาร สุขภาพ และเศรษฐกิจสีเขียว
ในปี 2568 ไทยกำหนดเร่งรัดการเจรจา FTA อีกหลายฉบับ อาทิ FTA ไทย-สหภาพยุโรป (EU) / ไทย-เกาหลีใต้ / ไทย-ภูฏาน / ไทย – สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) / อาเซียน – แคนาดา ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อภาคธุรกิจ และการส่งออกของไทย รวมถึงให้เร่งจัดทำความร่วมมือเพื่อนำไปสู่การเจรจา FTA ในอนาคตกับประเทศคู่ค้าศักยภาพ ได้แก่ ไทย-สหราชอาณาจักร / ไทย-ยูเรเซีย (Eurasian Economic Union: EAEU) ซึ่งประกอบด้วย 5 ประเทศ ได้แก่ (1) รัสเซีย (2) เบลารุส (3) คาซัคสถาน 4) อาร์เมเนีย และ(5) คีร์กีซสถาน
รวมทั้งเดินหน้ายกระดับ FTA ที่ไทยมีอยู่แล้ว อาทิ ความตกลง FTA ไทย - เปรู / ความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ASEAN Trade in Goods Agreement : ATIGA) / FTA อาเซียน-จีน/ FTA อาเซียน-อินเดีย/ FTA อาเซียน-เกาหลีใต้ ให้ความตกลงมีความทันสมัย สอดคล้องกับบริบทในปัจจุบัน







