ภาษีทรัมป์ฉุดค่าระวางเรือดิ่ง 30% สัญญาณการค้าโลกชะลอ 1-2 ไตรมาส

“หอการค้า” เปิดข้อมูลค่าระวางเรือลดฮวบ 30% เตือนสัญญาณการค้าโลกชะลอตัว 1-2 ไตรมาส หวั่นส่งออกไทยไตรมาส 4 เสี่ยงติดลบ
KEY
POINTS
- “หอการค้า” เปิดข้อมูลค่าระวางเรือลดฮวบ 30% เตือนสัญญาณการค้าโลกชะลอตัว 1-2 ไตรมาส
- หวั่นส่งออกไทยไตรมาส 4 เสี่ยงติดลบ
- แนะผู้ประกอบการเร่งปรับตัวรับมือ
- ครม.ตั้ง “เอกนิติ” หัวหน้าคณะทำงานยุทธศาสตร์เจรจาภาษีกับสหรัฐ ร่วม 6 กระทรวงหลัก หาข้อสรุปให้ได้โดยเร็ว
ทิศทางการค้าโลก ที่ปรับตัวลดลงทำให้ องค์การการค้าโลก (WTO) ระบุว่าในปี 2569 ปริมาณการค้าโลกจะขยายตัวเพียง 0.5% ลดจากประมาณการเดิมที่คาดว่าขยายตัว 1.8% จากผลกระทบเต็มปีของภาษีทรัมป์ ซึ่งส่งผลต่อทิศทางค่าระวางเรือทุกเส้นทางปรับลดลง
นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานหอการค้าไทย และนายกสมาคมการค้าอาหารแห่งอนาคตไทย กล่าวว่าเดือนก.ย.2568 อัตราค่าระวางเรือขนส่งสินค้าระหว่างเอเชีย-สหรัฐลดลงต่อเนื่อง โดยเส้นทางจากเอเชียไปชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐร่วงลงกว่า 30% เหลือเพียง 1,400 ดอลลาร์ ต่อหนึ่งตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 40 ฟุต (FEU) จากระดับ 2,000 ดอลลาร์ก่อนหน้า
ขณะที่เส้นทางชายฝั่งตะวันออกของสหรัฐลดลงเช่นกันเหลือ 2,400 ดอลลาร์ต่อ FEU รายงานข่าวจากผู้ให้บริการโลจิสติกส์ ระบุว่า สายเรือหลายรายเริ่มแข่งขันด้านราคาหนักขึ้น บางรายเสนอค่าระวางต่ำสุดถึง 1,350 ดอลลาร์ต่อ FEU เพื่อดึงปริมาณสินค้าท่ามกลางภาวะอุปสงค์ขนส่งโลกชะลอตัว ขณะเดียวกันผู้ประกอบการเดินเรือประกาศลดเที่ยวเรือ (Blank Sailing) มากกว่า 17% ในเดือนต.ค.นี้ เพื่อพยุงราคาไม่ให้ร่วงต่อ
อีกปัจจัยที่กดดันตลาด คือ มาตรการภาษีนำเข้าชุดใหม่ของสหรัฐภายใต้ รัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งมีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 14 ต.ค.2568 โดยเก็บภาษีสินค้ากลุ่มไม้แปรรูปและเฟอร์นิเจอร์จากจีนสูงสุดถึง 50% ส่งผลให้ปริมาณขนส่งสินค้าข้ามแปซิฟิก (Trans-Pacific) มีแนวโน้มลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
ทั้งนี้ เพื่อรับมือภาวะราคาตกต่ำ สายเดินเรือรายใหญ่ เช่น Hapag-Lloyd ประกาศขึ้นค่าระวางใหม่ (GRI) เส้นทางเอเชีย-ยุโรป และเอเชีย-เมดิเตอร์เรเนียน เริ่มกลางเดือน ต.ค.นี้ โดยปรับขึ้น 1,200-2,500 ดอลลาร์ต่อคอนเทนเนอร์ หลังสิ้นสุดช่วงหยุดยาว Golden Week ของจีน
สัญญาณเตือนการค้าโลกหดตัว
นายวิศิษฐ์ กล่าวว่า แม้การลดลงของค่าระวางจะช่วยลดต้นทุนขนส่งในระยะสั้น แต่ในเชิงเศรษฐกิจถือเป็น “สัญญาณเตือนของภาวะชะลอตัวทางการค้าโลก” ตลาดสหรัฐและยุโรป ซึ่งเป็นคู่ค้าหลักของไทย ยังเผชิญอุปสงค์ที่อ่อนแรง ขณะที่ค่าเงินบาทแข็งค่าและต้นทุนพลังงานยังอยู่ในระดับสูง กดดันมาร์จินของผู้ส่งออก
ทั้งนี้ สถานการณ์ค่าระวางเรือที่ลดลงดังกล่าวประเมินว่าจะใช้เวลา 1-2 ไตรมาส ในการฟื้นตัวขึ้น แสดงว่าสถานการณ์การค้าโลกหลังจากนี้อาจชะลอตัวลงจนกว่าจะมีปัจจัยสนับสนุนการค้าโลก
สถานการณ์ส่งออกไทย 8 เดือนแรกปี 2568 มีมูลค่า 223,175 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 11.3 % และเดือนส.ค.2568 มีมูลค่า 27,743 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 5.3 % เห็นได้ชัดว่าชะลอลงจากภาษีศุลกากรสหรัฐ แต่ยังขยายตัวในกลุ่มสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ ขณะที่สินค้าเกษตรกลุ่มข้าว ยางพารา และมันสำปะหลัง เป็นกลุ่มที่มีการกดดันในการส่งออกมากขึ้นจากการแข่งขันทางด้านราคา
จับตาส่งออกไตรมาส 4 เสี่ยงติดลบ
นายวิศิษฐ์ กล่าวว่า สถานการณ์คำสั่งซื้อล่วงหน้า และค่าระวางเรือดังกล่าวทำให้คาดการณ์ว่าการส่งออกของไทยในไตรมาส 4 ปีนี้ มีแนวโน้มติดลบ แต่การส่งออกที่ขยายตัวมากในช่วง 8 เดือน แรกของปีนี้ ยังคงทำให้การส่งออกรวมของปีนี้ยังเป็นบวก
สำหรับสถานการณ์ดังกล่าวจำเป็นที่ผู้ผลิตเพื่อส่งออกต้องวางแผนการผลิตให้ดีเพื่อไม่ให้มีปัญหาสต๊อกสินค้า เพราะนอกจากคำสั่งซื้อที่ลดลงแล้วผู้ส่งออกไทยยังเจอปัญหาเงินบาทแข็งค่า
ทั้งนี้คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) คาดการณ์ว่าการส่งออกของไทยในทั้งปี 2568 ยังคงเติบโตได้ราว 2-3% เป็นอย่างน้อย โดยมีแรงหนุนจากสินค้าเกษตร และอาหารที่ยังคงได้รับความต้องการสูงในตลาดภูมิภาค
ตั้งเอกนิติหัวหน้าทีมเจรจาภาษีสหรัฐ
นายสิริพงษ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 14 ต.ค.2568 นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี มีข้อสั่งการในที่ประชุม ครม.ให้แต่งตั้งคณะทำงานยุทธศาสตร์เจรจาการค้ากับสหรัฐ โดยมี นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธาน ร่วมกับรัฐมนตรีจาก 6 กระทรวง
ทั้งนี้ เพื่อบูรณาการ การทำงานให้การเจรจากับสหรัฐในเรื่องภาษีตอบโต้ (reciprocal tariffs)จบลงในเวลาอันเหมาะสม โดยการเจรจาภาษีการค้าสหรัฐให้เร่งเจรจาลดภาษีให้ต่ำกว่าหรือไม่เกิน 19% รวมทั้งหารือในมาตรการที่เกี่ยวข้องเพื่อคุ้มครองภาคส่งออก ภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรม การจ้างงานของไทยให้ไม่ได้รับผลกระทบ
นายกฯ ประชุม ครม.เศรษฐกิจนัดแรก
นอกจากนี้ วันที่ 15 ต.ค.2568 นายกรัฐมนตรี จะเป็นประธานการประชุม ครม.เศรษฐกิจนัดแรก เวลา 10.00 น.ที่รัฐสภา โดยกระทรวงการคลังเสนอโรดแมปและแผนปฏิบัติการในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยตามโรดแมป
ทั้งนี้ กระทรวงการคลัง หวังว่าทุกกระทรวงจะทำโรดแมป และแผนปฏิบัติการระยะเวลา 4 เดือนนี้ ซึ่งรวมถึงมาตรการกระตุ้น และส่งเสริมการท่องเที่ยวปลายปี ส่วนมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยว และเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ยังไม่ได้นำเข้าสู่การพิจารณาของ ครม.วันนี้ เพราะต้องรอเข้าที่ประชุม ครม.เศรษฐกิจนัดแรกในวันที่ 15 ต.ค.68 ก่อน
แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังจะเสนอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม เพื่อผลักดัน GDP ปี 2568 ขยายตัวได้มากกว่า 2% โดยมีเป้าหมายอัดฉีดเม็ดเงินกว่า 1 แสนล้านบาทให้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ โดยมาตรการที่จะเสนอประกอบด้วย
1.มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศโดยจะสั่งการให้หน่วยงานราชการ และรัฐวิสาหกิจ เร่งรัดการจัดประชุมสัมมนาภายในประเทศในช่วง 4 เดือนข้างหน้า (ต.ค.2568 - ม.ค.2569) ซึ่งแต่ละหน่วยงานมีงบประมาณ 6,000-8,000 ล้านบาท รวมทั้งมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยลดหย่อนภาษีเพื่อจูงใจการท่องเที่ยวในประเทศในช่วงปลายปี
2.มาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนผลักดันให้ส่วนราชการ และรัฐวิสาหกิจเร่งเบิกจ่ายงบลงทุนที่ยังล่าช้าในการเบิกจ่าย
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







