ทำไมต้องแข่งขัน? ... เพราะ? | สมการความคิด

ทำไมต้องแข่งขัน? ... เพราะ? | สมการความคิด

เป็นที่ทราบโดยทั่วกันว่า “การแข่งขันทางการค้าที่เป็นธรรม” ย่อมก่อให้เกิดประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจอย่างยิ่ง โดยประโยชน์เหล่านั้นอาจสะท้อนผ่านทางด้านราคาของสินค้าหรือบริการ

ทางด้านคุณภาพของสินค้าหรือบริการ รวมถึงทางด้านนวัตกรรม และแน่นอนที่สุด ผู้ที่ได้รับประโยชน์เหล่านี้ย่อมหนีไม่พ้นทุกคนในสังคมในฐานะของ “ผู้บริโภค”

ในบทความนี้ ใคร่ขอยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพของผลกระทบทางบวกหรือประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากการแข่งขันทางการค้า กล่าวคือ “การรับชมการถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ (English Premier League)” ซึ่งถือเป็นลีกฟุตบอลต่างประเทศที่ได้รับความนิยมสูงสุดจากแฟนฟุตบอลชาวไทย และอาจกล่าวได้ว่า พรีเมียร์ลีกนี้ถือเป็นหนึ่งใน “สินค้าทางวัฒนธรรม” ที่มีมูลค่าสูงยิ่งของโลก 

สำหรับประเทศไทยแล้ว ลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกประจำฤดูกาล 2025-2026 นี้ได้เปลี่ยนมือจาก “ผู้ให้บริการเดิม” ซึ่งได้รับลิขสิทธิ์มาอย่างยาวนานเป็น “ผู้ให้บริการใหม่” อาจกล่าวได้ว่า การเปลี่ยนมือครั้งนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนปรากฏการณ์ด้านธุรกิจบันเทิงและสื่อเท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นภาพของ “การแข่งขันทางการค้า” ได้อย่างชัดเจนมากขึ้น

จากข้อมูลที่ปรากฏในสื่อหลายแห่ง ระบุว่าการถ่ายทอดสดพรีเมียร์ลีกผ่าน ผู้ให้บริการใหม่ในครั้งนี้ มีราคาสำหรับผู้บริโภคที่จะต้องจ่ายอยู่ที่ประมาณเกือบ 300 บาทต่อเดือน หรือเกือบ 3,000 บาทต่อปีหากชำระเป็นรายปี ขณะที่ในอดีตผู้ให้บริการเดิมที่ได้รับลิขสิทธิ์มักจัดแพ็กเกจ (Package) ถ่ายทอดสดพรีเมียร์ลีกควบคู่กับกีฬาหรือช่องบันเทิงอื่นๆ ซึ่งมีราคาอยู่ในช่วง 600-800 บาทต่อเดือน 

หากเปรียบเทียบเพียงตัวเลขจะเห็นได้ว่า ราคาที่ผู้บริโภคต้องจ่าย “ลดลง” อย่างชัดเจน แต่คำถามสำคัญคือ ราคาที่ลดลงนี้ ผู้บริโภคกำลังซื้อ “สินค้าเดียวกัน” หรือไม่ เหตุเพราะแพ็กเกจของผู้ให้บริการเดิมในอดีตนั้นรวมกีฬาหลากหลายชนิดและช่องบันเทิงอื่นๆ เข้าด้วยกัน

ในขณะที่สินค้าของผู้ให้บริการใหม่นำเสนอนั้น เน้นไปที่พรีเมียร์ลีกเป็นหลัก ดังนั้น หากผู้บริโภคต้องการเพียงดูพรีเมียร์ลีก ราคาที่ถูกลงย่อมเป็นประโยชน์อย่างเห็นได้ชัด

จึงกล่าวได้ว่า การเปลี่ยนมือลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดในครั้งนี้สะท้อนภาพใหญ่ของการแข่งขันทางการค้าได้ชัดเจน เพราะหากไม่มีคู่แข่งรายใหม่เข้ามาในตลาด ผู้บริโภคก็อาจไม่มีทางได้เห็นราคาที่ลดลง หรือทางเลือกที่มากขึ้น

รวมไปถึงจำต้องถูกบังคับซื้อแพ็กเกจตามที่ผู้ให้บริการเดิมจัดสรรให้ ทั้งที่อาจมีผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยอยากที่จะชมเพียงแค่พรีเมียร์ลีก หาใช่ต้องการดูกีฬาหรือช่องบันเทิงอื่นๆ ไม่

ยิ่งกว่านั้น การแข่งขันทางการค้ามิได้ส่งผลกระทบแค่ต่อราคาเท่านั้น หากแต่คุณภาพการรับชม ความเสถียรของแพลตฟอร์ม และนวัตกรรมใหม่ๆ ในการถ่ายทอด ก็เป็นอีกปัจจัยที่ได้รับการพัฒนา

โดยในกรณีนี้ ผู้ให้บริการใหม่อ้างว่า ได้ร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยีที่ทันสมัย โดยได้นำระบบอัตโนมัติมาช่วยตัดไฮไลต์ (Highlight) และนำเสนอคอนเทนต์ (Content) อย่างรวดเร็ว และนี่ก็เป็นตัวอย่างเชิงรูปธรรมว่า หลักการเรื่องการแข่งขันทางการค้าไม่ได้เป็นเพียงแนวคิดที่จับต้องไม่ได้ หากแต่สามารถแสดงผลลัพธ์ที่จับต้องได้ต่อชีวิตประจำวันของผู้คน

อย่างไรก็ตาม หากมองกรณีตัวอย่างข้างต้นผ่านพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ.2560 จะเห็นได้ว่า การไม่มีการแข่งขันหรือมี แต่อยู่ในระดับต่ำย่อมไม่เป็นผลดีต่อผู้บริโภค ดังนั้น การเปิดโอกาสให้ผู้เล่นรายใหม่เข้าสู่ตลาดเพื่อทำการแข่งขัน จึงเป็นการคืนสมดุลของตลาด ลดอำนาจเหนือตลาดของผู้เล่นรายเดิม และสร้างแรงกดดันเชิงบวกให้ทุกฝ่ายต้องพัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่อง

กล่าวโดยสรุป การแข่งขันทางการค้า คือกลไกสำคัญที่ช่วยกดดันตลาดให้เกิดความสมดุลมากยิ่งขึ้น สร้างทางเลือกใหม่ รวมถึงผลักดันให้ผู้ประกอบธุรกิจในตลาดนั้นๆ ต้องพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ และที่สุดแล้ว ผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นย่อมตกแก่ผู้บริโภคอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง