‘พายุเศรษฐกิจโลก’ ก่อตัว ‘ไทย’ ต้องตั้งหลักก่อนถูกซัด

การประชุมประจำปีของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และธนาคารโลก (World Bank) ที่กำลังจะมีขึ้น อาจไม่ใช่เพียงเวทีหารือด้านนโยบายการเงินระหว่างประเทศเท่านั้น หากแต่เป็น “สัญญาณเตือน” ครั้งสำคัญ ถึงพายุลูกใหม่ของเศรษฐกิจโลก
ที่กำลังก่อตัวขึ้นจากสามแรงเสี่ยง “ภาษีการค้า, ฟองสบู่เอไอ และหนี้ทั่วโลก” ที่พุ่งสูงลิบ ทั้งหมดนี้ไม่เพียงสั่นคลอนระบบการเงินโลก แต่สะเทือนโดยตรงมาถึงประเทศไทยที่กำลังเผชิญแรงกดดันรอบด้านในเวลาเดียวกัน
ภาษีศุลกากรที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขู่จะเก็บกับสินค้าจีนในอัตรา 100% ไม่ได้กระทบแค่สองมหาอำนาจ หากยังส่งผลต่อห่วงโซ่การผลิตของโลก รวมถึงภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่เป็นฐานการผลิตสำคัญของสินค้าส่งออก ทั้งไทย มาเลเซีย และเวียดนาม การชะลอตัวของคำสั่งซื้อจากสหรัฐอาจกระทบต่อภาคการผลิตไทย ขณะเดียวกันความไม่แน่นอนทางนโยบายการค้าจะกดดันการลงทุนใหม่ ๆ จากต่างชาติให้ชะลอตัว
อีกด้านหนึ่ง กระแสลงทุนด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่กลายเป็นหัวรถจักรใหม่ของเศรษฐกิจโลก แม้สร้างแรงหนุนให้ตลาดทุนขยายตัว แต่ก็เริ่มมีสัญญาณของ “ฟองสบู่เทคโนโลยี” ที่อาจแตกเมื่อใดก็ได้ การพึ่งพาการเติบโตจากกลุ่มเทคโนโลยีเพียงไม่กี่บริษัท ทำให้ตลาดโลกเปราะบางกว่าที่เห็น ประเทศไทยซึ่งกำลังพยายามสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลและ AI จำเป็นต้องระมัดระวังไม่ให้ติดกับดัก “ลงทุนตามกระแส” โดยไร้แผนพัฒนาเทคโนโลยีอย่างยั่งยืน หากลงทุนโดยไม่สร้างศักยภาพภายในประเทศ ก็เสี่ยงจะกลายเป็นผู้บริโภคเทคโนโลยีมากกว่าผู้สร้างมูลค่า
ขณะเดียวกัน หนี้ทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่ กำลังส่งสัญญาณอันตรายชัดเจนต่อประเทศที่มีหนี้สาธารณะสูงอย่างไทย การใช้นโยบายการคลังแบบขยายตัวเพื่อพยุงเศรษฐกิจอาจเริ่มมีข้อจำกัด หากไม่มีการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษี หรือกระตุ้นรายได้ของรัฐอย่างยั่งยืน ไทยอาจถูกบีบให้เผชิญทั้งภาระดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และความเสี่ยงต่อการจัดอันดับเครดิตในอนาคต
รายงานธนาคารโลก ล่าสุดชี้ว่า เศรษฐกิจไทยจะเติบโตเพียง 2% ปีนี้ และลดลงเหลือ 1.8% ในปีหน้าสะท้อนภาพ “ความเปราะบางเชิงโครงสร้าง” ของประเทศชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นแรงงานที่มีคุณภาพต่ำกว่าเกณฑ์ การจ้างงานที่กระจุกอยู่ในภาคนอกระบบ รวมถึงความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ฉุดความเชื่อมั่นลงทุน ขณะที่ภูมิภาคอาเซียนเองก็เผชิญแรงกดดันไม่ต่างกันจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและมาตรการภาษีของสหรัฐ
สถานการณ์ที่เศรษฐกิจโลกถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอกของความไม่แน่นอน ไทยจำเป็นต้อง “ตั้งหลักใหม่” ด้วยการเร่งสร้างภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจภายในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจครั้งใหญ่ การเพิ่มขีดความสามารถแรงงานสู่ยุคเทคโนโลยี การผลักดันอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ที่พึ่งพาตลาดในประเทศมากขึ้น เพื่อให้ไทยไม่เพียงรอดจากแรงกระแทกของโลก แต่ยังสามารถพลิก ‘พายุ’ ให้กลายเป็น ‘พลัง’ ในการปรับตัว และเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว







