เปิดกลยุทธ์ธุรกิจสู้วิกฤติ‘บาทแข็ง’ ชะลอโยกเงินกลับ-หันใช้หยวน

เปิดกลยุทธ์ธุรกิจสู้วิกฤติ‘บาทแข็ง’  ชะลอโยกเงินกลับ-หันใช้หยวน

สรท.จี้รัฐดูแลค่าเงิน ก.ย.แข็งค่าขึ้น 5.31% แข่งขันยาก ขอค่าเงินเหมาะสม 33-34 บาท “ราชกรุ๊ป” ชะลอส่งกำไรกลับไทย โยกลงทุนต่อในออสเตรเลีย ลดผลกระทบค่าเงิน

KEY

POINTS

  • เปิดกลยุทธ์เอกชนบริหารธุรกิจฝ่ายมรสุมบาทแข็ง
  • สรท.จี้รัฐดูแลค่าเงิน ก.ย.แข็งค่าขึ้น 5.31% แข่งขันยาก ขอค่าเงินเหมาะสม 33-34 บาท
  • “ราชกรุ๊ป” ชะลอส่งกำไรกลับไทย โยกลงทุนต่อในออสเตรเลีย ลดผลกระทบค่าเงิน 
  • “BIG” ใช้กลยุทธ์บริหารตรึงอัตราแลกเปลี่ยนทันทีหลังอนุมัติโครงการ หันจ่ายหยวนแทนดอลลาร์ ชี้สกุลเงินนิ่งกว่า

ค่าเงินบาทของไทยถือว่าอยู่ในระดับที่แข็งค่าต่อเนื่องและแข็งค่าสูงกว่าภูมิภาคเมื่อเทียบกับคู่แข่ง โดยในเดือน ก.ย.ที่ผ่านมาแข็งค่าขึ้นกว่า 5.31% โดยเคลื่อนไหวไปแข็งค่าสูงสุดในระดับ 31.58 เมื่อวันที่ 9 ก.ย.ก่อนที่จะอ่อนค่าลงมาในช่วงต้นเดือนต.ค.และในสัปดาห์ที่ผ่านมาค่าเงินบาทเคลื่อนไหวที่ 32.4-32.8 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งโดยเฉลี่ยค่าเงินบาทยังแข็งค่ากว่าปีที่ผ่านมาทำให้ภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบต้องมีการวางแผยบริหารอัตราแลกเปลี่ยนโดยใช้วิธีต่างๆเพื่อไม่ให้ธุรกิจได้รับผลกระทบ

นายนาวา จันทนสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่าค่าเงินบาทที่แข็งตัวขึ้นส่งผลกระทบ 2 ด้านสำคัญ คือการส่งออกของกลุ่มอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบ ทำให้ปริมาณการส่งออกอาจชะลอตัวลง เมื่อเทียบกับคู่แข่งที่มีค่าเงินอ่อนกว่า นอกจากนั้นค่าเงินบาทที่แข็งจูงใจให้มีการนำเข้าสินค้าทุ่มตลาดมายังประเทศไทยมากขึ้น

“ภาคอุตสาหกรรมได้เสนอรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ว่าต้องหาจุดสมดุลปรับค่าเงินบาทอย่าให้แข็งเกินไป ผมมองว่าปัจจุบันค่าเงินบาทแข็งเกินไปแล้วและกระทบเศรษฐกิจมาก” รองประธาน ส.อ.ท. กล่าว

นายธนากร เกษตรสุวรรณ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวว่า ที่ผ่านมาค่าเงินบาทไทยแข็งค่ามากเมื่อเทียบกับคู่แข่ง โดยในเดือนก.ย.ค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับต้นปี แข็งค่าขึ้นและแข็งค่ากว่า 5.31 % เมื่อเทียบกับต้นปี ขณะที่เวียดนาม ค่าเงินอ่อนลง 3%ซึ่งทำให้การส่งออกไทยแข่งขันยากขึ้น 

ทั้งนี้ สรท.ขอให้ ธปท.เข้ามาดูแลว่าการแข็งค่าของเงินบาทและเอกชนให้ความเห็นไป เช่น การส่งออกทองคำสูงมากช่วงที่ผ่านมาและผิดปกติ หรือใช้ไทยเป็นทางผ่านเพราะการส่งออกจะได้ดอลลาร์เข้ามา ซึ่งที่ผ่านมามีคำถามเกี่ยวกับเงินสีเทา ดังนั้นรัฐบาลและ ธปท.ต้องดูแลให้มีเสถียรภาพและสอดคล้องทิศทางค่าเงินภูมิภาค โดยตัวเลขที่เรายังอยู่อันดับที่พึงพอใจอยู่ที่ 33-34 บาทต่อดอลลาร์

ราช กรุ๊ป ใช้สกุลเงินท้องถิ่นลงทุนต่อเนื่อง

นางวดีรัตน์ เจริญคุปต์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่การเงิน บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงแนวทางการบริหารช่วงเงินบาทแข็งค่าว่า การลงทุนต่างประเทศโดยเฉพาะกลยุทธ์การบริหารสินทรัพย์ในออสเตรเลีย ซึ่งบริษัทใช้เงินลงทุนและกู้เงินสกุลดอลลาร์ออสเตรเลีย (AUD) ทั้งระบบ ทำให้ไม่มีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนในระดับกระแสเงินสดแม้เงินบาทจะผันผวน

“มีเป้าหมายเติบโตเฉลี่ย 5% ต่อปี สำหรับโครงการในออสเตรเลีย ใช้เงินลงทุนจากรายได้ในออสเตรเลียเป็นสกุลดอลลาร์ออสเตรเลียไปลงทุน 30% อีก 70% กู้เงินจากธนาคารในออสเตรเลีย รายได้เป็นดอลลาร์ออสเตรเลียและหนี้เป็นดอลลาร์ออสเตรเลีย จึงไม่เสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน แต่ถ้านำเงินกลับจะมีผลจึงยังไม่นำเงินกลับไทยและยังไม่มีผลกระทบ” นางวดีรัตน์กล่าว

รวมทั้งสินทรัพย์ของบริษัทในออสเตรเลียเป็นสกุลดอลลาร์ออสเตรเลีย หากค่าเงินบาทแข็งขึ้น มูลค่าสินทรัพย์จะขึ้นลงทางบัญชี แต่ในแง่กระแสเงินสดไม่กระทบ

ทั้งนี้ ราชกรุ๊ป ได้รับการยอมรับสูงจากสถาบันการเงินออสเตรเลีย โดยช่วงแรกที่ลงทุนในออสเตรเลียมีธนาคารให้กู้เพียง 4-5 แห่ง แต่ปัจจุบันมีมากกว่า 10 ธนาคาร ทั้งจากไทย สิงคโปร์และยุโรป โดยต้นทุนเงินกู้ (Cost of Fund) ที่ออสเตรเลียการันตีว่าน่าจะต่ำที่สุด บวกจากอัตราอ้างอิงแค่ 1% เศษ ซึ่งเมื่อก่อนตอนเข้าไปช่วงแรกต้องบวกถึง 3%

“ปัจจุบันต้นทุนเงินกู้ของเราต่ำมาก ไม่ต่างจากการกู้เงินที่ประเทศไทยทำให้ความเสี่ยงทางด้านการเงินต่ำ"นางวดีรัตน์ กล่าว

Big ล็อกอัตราแลกเปลี่ยนลดความผันผวน

นายพงษ์ศักดิ์ เหลืองจินดารัตน์ Chief Strategy and Sustainability Officer บริษัท บางกอกอินดัสเทรียลแก๊ส จำกัด (BIG) เปิดเผยว่า ช่วงเงินบาทแข็งค่าและค่าเงินผันผวนใช้กลยุทธ์บริหารจัดการความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน โดยเมื่อมีโครงการที่ได้รับอนุมัติลงทุนและมีกำหนดจ่ายเงินจะล็อกอัตราแลกเปลี่ยนทันที เพื่อเลี่ยงความผันผวนที่อาจกระทบต้นทุนและผลประกอบการในอนาคต

“รายได้เป็นเงินบาทแต่รายจ่ายเป็นดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นความท้าทายสำคัญในการบริหารจัดการ เมื่อโครงการได้รับอนุมัติและต้องจ่ายเงินออกไปจะตรึงอัตราแลกเปลี่ยนทันที” นายพงษ์ศักดิ์กล่าว

นายพงษ์ศักดิ์ ยังเล่าถึงบทเรียนจากอดีตว่า เคยได้รับผลกระทบเมื่อพยายามรอจังหวะที่เงินบาทดูเหมือนจะแข็งค่าแล้วค่อยๆ เก็บเงิน แต่เมื่ออัตราแลกเปลี่ยนพลิกผัน ก็เกิดผลขาดทุนขึ้นได้

“ในมุมมองนักธุรกิจไม่ต้องการค่าเงินผันผวนเยอะ เป้าหมายคือไม่ต้องการเกิดกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน ถ้าได้กำไรตาม Business Model ที่กำหนดไว้ก็เพียงพอแล้ว เพราะการเก็งกำไรค่าเงินส่งผลกระทบได้จึงไม่ควรเสี่ยง” นายพงษ์ศักดิ์ ระบุ

ใช้สกุลเงินหยวนจ่ายแทนดอลลาร์

นอกจากนี้บริษัทเจรจากับซัพพลายเออร์หลายรายเพื่อเปลี่ยนสกุลเงินที่ใช้จ่าย โดยไม่จ่ายเป็นดอลลาร์สหรัฐ แต่ขอไปจ่ายเป็นสกุลเงินที่ค่อนข้างจะนิ่งกว่า

“ตัวอย่างล่าสุดที่ทำคือขอจ่ายเป็นหยวนจีน เพราะมองว่าหยวนนิ่งกว่า และหากเงินบาทสวิตช์เป็นดอลลาร์สหรัฐแล้วมีความผันผวนเยอะ จะทำให้บริหารจัดการได้ยาก” นายพงษ์ศักดิ์อธิบาย

สำหรับระยะเวลาการตรึงค่าเงิน นายพงษ์ศักดิ์ระบุว่า เป็นไปแบบ “โปรเจกต์ by โปรเจกต์”หากโครงการใดต้องใช้เงินล่วงหน้า 3 ปี ก็จะมีการตรึงยาวถึง 3-4 ปีข้างหน้า

“ไทยไม่ควรให้ค่าเงินแข็งเยอะ เพราะส่งผลกระทบต่อการส่งออก ความผันผวนของค่าเงินทำให้การบริหารจัดการธุรกิจยากขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจที่มีรายได้เป็นเงินบาทแต่ต้องจ่ายเป็นเงินตราต่างประเทศ” นายพงษ์ศักดิ์กล่าวสรุป