‘เอกชน’ เตือนเศรษฐกิจไทยเสี่ยง จี้รัฐ ‘เร่งฟื้น–รักษาเสถียรภาพ’

‘เอกชน’ เตือนเศรษฐกิจไทยเสี่ยง จี้รัฐ ‘เร่งฟื้น–รักษาเสถียรภาพ’

ส.อ.ท.ชี้ความเสี่ยงเศรษฐกิจไทยปีหน้า รัฐต้องดันนโยบาย-กระตุ้นดีมานด์ในประเทศ ชี้เสียงเตือนเครดิตเรตติ้งจุดเริ่มต้นปฏิรูป “WHA” หวังเห็นความต่อเนื่องนโยบายรัฐ ”สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย” ประเมิน 3 กับดักเสี่ยงฉุดธุรกิจ จี้รัฐเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ–เดินหน้านโยบายต่อเนื่อง  “มาดามเดียร์” ห่วงโครงสร้างเศรษฐกิจไทยไม่ทันโลก อสังหาฯ กังวลกำลังซื้อ แนะบริหารสภาพคล่องรับมือ

KEY

POINTS

  • ภาคเอกชนเรียกร้องให้รัฐบาลสร้างเสถียรภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจ พร้อมรักษาความต่อเนื่องของนโยบาย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและเอื้อต่อการวางแผนธุรกิจในระยะยาว
  • จี้รัฐเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและแก้ปัญหาหนี้สิน ทั้งหนี้ครัวเรือนและหนี้ธุรกิจ เพื่อฟื้นฟูกำลังซื้อของประชาชนและเสริมสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SME
  • ต้องการให้รัฐบาลเข้ามาดูแลเสถียรภาพค่าเงินบาทไม่ให้ผันผวนมากเกินไป เนื่องจากส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออก การท่องเที่ยว และความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ
  • แสดงความกังวลต่อปัญหาเชิงโครงสร้างระยะยาวของเศรษฐกิจไทย เช่น การเข้าสู่สังคมสูงวัย, ผลิตภาพ (Productivity) ที่ต่ำ และขีดความสามารถของแรงงานที่ต้องเร่งพัฒนาให้ทันเทคโนโลยี
  • เตือนถึงความเสี่ยงจากการถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ ซึ่งจะกระทบต่อต้นทุนการกู้ยืมของภาคธุรกิจ และความเชื่อมั่นของนักลงทุน

เศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาส 4 ปี 2568 รัฐบาลประเมินกรณีไม่เพิ่มการกระตุ้นจะขยายตัวเพียง 0.3% ขณะที่แรงกดดันต่อเศรษฐกิจไทยยังคงได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า รวมถึงการท่องเท่ยวที่ยังไม่ฟื้นตัว

นายนาวา จันทนสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ความท้าทายสำคัญปีหน้า คือการที่รัฐบาลชุดใหม่จะต้องนำนโยบายที่แถลงไว้ไปปฏิบัติให้เกิดผลจริง โดยเฉพาะการกระตุ้นการใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศซึ่งเป็นสิ่งที่ภาคอุตสาหกรรมต้องการเห็นมากที่สุด

“รัฐบาลชุดใหม่ได้รับข้อเสนอจากภาคเอกชน โดยเฉพาะจาก กกร. (คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน) และภาคเอกชนพอใจที่รัฐบาลได้กลั่นกรองข้อเสนอเหล่านี้ให้เป็นนโยบายที่ดีหลายเรื่อง แต่สิ่งที่อยากเห็นมากที่สุดคือการกระตุ้นการใช้สินค้า Made in Thailand”

โดย ส.อ.ท. ได้รับข้อมูลจากสมาชิกว่า ในช่วงไตรมาส 3 และต้นไตรมาส 4 กำลังการผลิตของหลายกลุ่มลดลงเนื่องจากดีมานด์ในประเทศไม่ดี และหลายอุตสาหกรรมยังชะลอการส่งออกเนื่องจากได้รับผลกระทบด้านภาษี

“เอกชนคาดหวังให้รัฐบาลกระตุ้นดีมานด์ในประเทศ เช่น การช่วยเหลือผ่านโครงการ ‘คนละครึ่ง’ ขอให้เน้นการใช้สินค้า Made in Thailand เป็นหลัก”

ส่วนความเป็นไปได้ที่ไทยอาจถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ มองในแง่บวกว่าหากถูกปรับลดอันดับอาจถือเป็นจุดต่ำสุดที่จะเป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนา

จี้รัฐเร่งสร้างเสถียรภาพ–ต่อเนื่องนโยบาย

น.ส.จรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA Group เปิดเผยว่า ปี 2569 ยังท้าทายอย่างยิ่งเนื่องจากมีความไม่แน่นอนทั้งในและต่างประเทศโดยเฉพาะผลกระทบจากนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐ

"การเมืองเป็นอีกปัจจัยเสี่ยงสำคัญ โดยเฉพาะการเปลี่ยนผ่านของรัฐบาลและช่วงเวลาที่สภาหยุดปฏิบัติหน้าที่ราว 4 เดือน เราต้องการรัฐบาลที่เข้มแข็งและเข้าใจภาคธุรกิจทั้งในระดับประเทศและระดับโลก ความต่อเนื่องของนโยบายสำคัญมาก หากสามารถทำงานอย่างจริงจังในช่วง 4 เดือนนี้ จะเห็นผลเชิงบวกที่ชัดเจนโดยเฉพาะช่วงปลายปี”

อย่างไรก็ตาม ยังเห็นสัญญาณบวกที่เริ่มในภาคการท่องเที่ยว โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่กลับมามากขึ้น จะเป็นแรงส่งสำคัญให้เศรษฐกิจฟื้นตัวต่อเนื่องในปีหน้า

มองบาทแข็งเป็นภาวะชั่วคราว หวังรัฐเร่งแก้

สำหรับค่าเงินบาทแข็งค่าเป็นปัจจัยที่ “ไม่เอื้อต่อธุรกิจส่งออก” และสร้างความกังวลให้นักลงทุนต่างชาติ แต่มองว่าเป็น “ภาวะชั่วคราว” แต่รัฐบาลจำเป็นต้องเข้ามาดูแลไม่ให้ค่าเงินผันผวนมากเกินไป

“นักลงทุนต่างชาติไม่ได้มองแค่ค่าเงิน แต่คือเสถียรภาพของค่าเงิน ถ้าบริหารจัดการไม่ให้สวิงมากจะสร้างความเชื่อมั่นและดึงดูดการลงทุนระยะยาว”

ส่วนการหั่นเครดิตเรตติ้งของประเทศเป็นประเด็นที่ต้องติดตามใกล้ชิด โดยเฉพาะผลกระทบต่อบริษัทที่มีภาครัฐถือหุ้นหรือสถาบันการเงินต่าง ๆ ซึ่งอาจถูกลดอันดับเครดิตตามไปด้วย อย่างไรก็ตาม สำหรับภาคเอกชนที่มีพื้นฐานธุรกิจแข็งแรงและไม่ได้พึ่งพารัฐโดยตรง ส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับผลกระทบ

สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย” ชี้ 3 กับดักเสี่ยงฉุดธุรกิจ

นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานยุทธศาสตร์สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เปิดเผยว่า ความเสี่ยงที่ภาคเอสเอ็มอี (SME) กังวลมากที่สุดปีหน้า ประเด็นแรก “กับดักหนี้” ทั้งหนี้ครัวเรือนและหนี้ธุรกิจที่พุ่งสูงทำให้ไม่สามารถขยับขยายหรือลงทุนเพิ่มได้

ประเด็นที่ 2 ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics)”โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ–จีน และคู่ขัดแย้งใหม่ ๆ ทำให้เศรษฐกิจโลกตึงตัว กระทบต่อภาคการค้าและการส่งออกของไทยโดยตรง

ประเด็นสุดท้าย “ขีดความสามารถของแรงงานและเทคโนโลยี” โดยเฉพาะการยกระดับทักษะคนให้เท่าทันความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและเศรษฐกิจดิจิทัล รวมถึงการเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่จะเป็นปัจจัยชี้ความสามารถในการแข่งขันในอนาคต

สำหรับช่วง 4 เดือนสุดท้ายปีนี้ สิ่งที่ SME ต้องการมากที่สุดคือ “มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ” เพื่อเสริมสภาพคล่องในระบบ โดยเฉพาะโครงการ “คนละครึ่งพลัส” ที่ตอบโจทย์ธุรกิจขนาดเล็ก

“มาดามเดียร์” ห่วงโครงสร้างเศรษฐกิจไทยไม่ทันโลก

นางสาววทันยา บุนนาค ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม (Co-Chief Executive Officer) บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ลิเบอเรเตอร์ จำกัด (Liberator) กล่าวว่า บรรยากาศเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ใน “สภาวะซบเซา” ทำให้มีความเป็นห่วงหลายเรื่อง 

แต่สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือ ปัญหาเศรษฐกิจในทางโครงสร้างไม่ว่าจะเป็นการเข้าสู่ Aging Society ทำให้ประชากรในวัยที่จะสามารถทำงาน ผลิตแรงงาน ลดน้อยลง ในขณะเดียวกันรัฐต้องเพิ่มงบประมาณสวัสดิการต่าง ๆ ดูแลกลุ่มผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น

รวมถึงเรื่อง Productivity ซึ่งวันนี้ยังไม่สามารถก้าวตามทันในเรื่องของการผลิตสู่วงจรระบบ Supply Chain ในเทคโนโลยีใหม่ ๆ ของโลกได้

และสิ่งที่สำคัญที่สุดหนีไม่พ้นในเรื่องของการพัฒนาคุณภาพของประชากร โดยเฉพาะการพัฒนาทักษะซึ่งน่าจะเป็นอีกสิ่งสำคัญสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจในเชิงโครงสร้าง  เป็นโจทย์ใหญ่ของรัฐบาล และอยากจะฝากถึงรัฐบาลแม้ว่าจะมีระยะเวลาเพียงแค่ 4 เดือน แต่ทว่าถือเป็น 4 เดือนที่สำคัญมาก ๆ ในการเริ่มวางรากฐานโครงสร้างต่าง ๆ เพื่อที่จะส่งต่อใหักับรัฐบาลถัดไป

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมารัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น และยังคงต้องรอดู มาตรการช่วยผู้ประกอบการ หรือประชาชนในปัญหาหนี้ ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่ทำไม่มีความสามารถไปลงทุนต่าง ๆ จากการที่ต้องแบกรับภาระหนี้

บริหารสภาพคล่องรับมือความไม่แน่นอน

นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC กล่าวว่า อสังหาริมทรัพย์ยังเผชิญความท้าทายไม่ต่างจากช่วงต้นปี ทั้งการชะลอตัดสินใจซื้อ เพราะมีความไม่ชัดเจนทั้งในและต่างประเทศ ปัญหาหนี้สินครัวเรือนสูง การจับจ่ายซื้อสินค้ายากขึ้น และซัพพลายค่อนข้างสูง ส่งผลให้เกิดสงครามราคา 

ขณะเดียวกัน “สภาพคล่อง” เป็นอีกเรื่องที่สำคัญมาก ผู้ประกอบการต้องมั่นใจว่ามีสภาพคล่องที่ดี ธุรกิจต้องมีความหลากหลายป้องกันความเสี่ยงที่เกิดจากความไม่แน่นอนได้

ดร.นิตินัย ศิริสมรรถการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คิง เพาเวอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า โลกยุคโลกาภิวัตน์ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนเร็ว สิ่งที่เอกชนกังวลมากที่สุดจึงเป็นเรื่องพลวัตรต่าง ๆ ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว สิ่งที่ต้องการมากที่สุดคือเสถียรภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจเพื่อการวางแผนได้ถูกต้องมากขึ้น

“4 เดือนของรัฐบาลใหม่ สั้นมาก แต่ถ้ามีนโยบายที่ชัดเจนและมีเสถียรภาพและสามารถวางพื้นฐานในระยะยาว 4 ปีข้างหน้าได้จะเป็นเรื่องดี”

สำหรับภาวะเงินบาทแข็งค่าเป็นห่วงว่าจะกระทบต่อการท่องเที่ยว หนึ่งในเครื่องจักรสำคัญสร้างรายได้  เพราะไม่ได้กระทบต่อการค้าขายสินค้าดิวตี้ฟรีอย่างเดียว แต่ลามไปถึงพ่อค้าแม่ขายทั่วไปด้วย

ส่วนความกังวลเรื่องการหั่นเครดิตประเทศ แน่นอนว่าถ้าความเชื่อมั่นของต่างประเทศน้อยลง ย่อมกระเทือนถึงภาคเอกชน ต้นทุนเงินกู้ก็จะแพงขึ้น

ด้านการใช้โลยีเอไอ เป็นสิ่งใหม่สำหรับทุกธุรกิจ โดยตอนนี้คิง เพาเวอร์ มีโครงการ High Performance Organization (HPO) มีการรีดไขมันอโดยปิดสาขาศรีวารี พัทยา และมหานคร ประกาศโครงการสมัครใจลาออก หลังจากรีดไขมันแล้ว การฟื้นฟูธุรกิจจำเป็นต้องมีการผสมผสานที่เหมาะสมระหว่างคนกับเอไอ

"เอไอ ไม่ได้นำมาแทนที่คนแล้วเอาคนออก แต่เป็นการอัปสกิลพนักงาน ให้ใช้เอไอเป็น โดยเริ่มนำมาพัฒนาการประมวลผลข้อมูลทั้งด้านการขาย การจัดโปรโมชัน และจะขยายไปถึงการจัดหมวดหมู่สินค้าต่างๆ 

กังวล “ความสามารถในการซื้อ”

นางสาวเกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า มีความกังวลเรื่องความสามารถในการซื้อจากปัญหาหนี้ครัวเรือน

“ความสามารถในการซื้อคือกลไกสำคัญขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ถ้าหวังเพียงเม็ดเงินจากภาครัฐแต่ไม่ฟื้นกำลังซื้อของประชาชนจะเดินต่อได้ยาก”

ทั้งนี้ “หนี้ครัวเรือน” คือปัญหาเรื้อรังที่กัดกินฐานรากของระบบเศรษฐกิจมานาน แม้รัฐบาลจะเริ่มขับเคลื่อนนโยบายหลายด้าน แต่มองว่า “เวลา”4 เดือน คือข้อจำกัดใหญ่ โดยเฉพาะการเร่งออก “มาตรการระยะสั้น” ที่สามารถทำได้จริงในทางปฏิบัติ

“ที่ผ่านมาไม่ใช่นโยบายไม่ดี แต่เมื่อปฏิบัติจริงกลับทำไม่ได้ ภาคเอกชนก็ไม่ได้รับประโยชน์อย่างที่ควรจะเป็น”

ส่วนเรื่่องของ “เครดิตประเทศ” เปรียบได้กับเครดิตของคนไทยทั้งประเทศ หากสถานะการคลังถูกมองว่าอ่อนแอ ย่อมกระทบต่อต้นทุนการกู้ยืมทั้งในและต่างประเทศโดยตรง

ในมิติของการพัฒนาองค์กร “คน” และ “เทคโนโลยี” ต้องเดินคู่กัน โดยในส่วนของ เสนาฯ ไม่ใช้ AI แทนคน แต่ใช้เพื่อให้คนฉลาดขึ้น และทำงานที่มีคุณค่ามากขึ้น