เศรษฐกิจโลกจะถดถอยหรือไม่ สิ้นปีนี้หรือปีหน้า

สัปดาห์ที่แล้วมีหลายคนถามผมว่าจะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจหรือไม่ ทั้งนักธุรกิจในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งผมแปลกใจ แต่ก็เข้าใจดีว่ามาจากความรู้สึกที่เศรษฐกิจขณะนี้ไม่ดี ความไม่แน่นอนในต่างประเทศมีมาก
และในประเทศเองภาระหนี้ของรัฐบาล ครัวเรือน รวมถึงภาคเอกชน ก็เป็นประเด็น ยิ่งช่วงเงินบาทแข็งค่านักธุรกิจและสื่อก็พูดถึงวิกฤติปี 40 แม้จะไม่เกี่ยวกัน คือปี 40 เป็นเรื่องเงินบาทอ่อนค่าไม่ใช่แข็งค่า
เหล่านี้สะท้อนความห่วงใยที่ภาคธุรกิจมีขณะนี้ ส่วนใหญ่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าเกิดอะไรขึ้น และจะแย่ไปกว่านี้หรือไม่ วันนี้จึงอยากให้ความเห็นเรื่องนี้ว่าอะไรกำลังเกิดขึ้น มุ่งไปที่เศรษฐกิจโลกและความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอย รวมถึงถ้าวิกฤติเศรษฐกิจเกิดขึ้น อะไรจะเป็นตัวจุดประเด็น ทั้งหมดเพื่อสร้างความเข้าใจและลดความกังวลที่มี นี่คือประเด็นที่จะเขียน
ขณะนี้หลายอย่างกำลังเกิดขึ้นและดูสับสน ไม่ว่าเศรษฐกิจโลกที่ชะลอ เงินเฟ้อสหรัฐที่สูงแต่เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ย ราคาหุ้น ราคาทองคำที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ความไม่แน่นอนในนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐ ภูมิรัฐศาสตร์ที่ความขัดแย้งไม่เลิกลาแต่ยิ่งบานปลาย การประท้วงของประชาชนที่มีไปทั่ว ทั้งในประเทศอุตสาหกรรมเรื่องผู้อพยพ
และการประท้วงของ Gen Z ในยุโรป เอเชีย แอฟริกา ลาตินอเมริกา เรื่องโอกาสทางเศรษฐกิจ การทุจริตคอร์รัปชันและความเหลื่อมล้ำ ชี้ถึงความไม่พอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
นางคริสตาลินา จอร์จีวา กรรมการผู้อํานวยการไอเอ็มเอฟ ให้ความเห็นว่า โลกกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกโฉมของ 4 เรื่องใหญ่ที่ไม่เคยมีมาก่อน คือ เทคโนโลยี สังคมสูงวัย ภูมิรัฐศาสตร์และสิ่งแวดล้อม
ในภาวะที่ความไม่แน่นอนในเศรษฐกิจโลกและการทำนโยบายมีมาก เช่น ภาษีทรัมป็ ภูมิรัฐศาสตร์ ผลของเทคโนโลยีต่อการผลิต พฤติกรรมผู้บริโภค และการตอบสนองของนโยบาย
ดังนั้น สิ่งที่กำลังเกิดขึ้น คือการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ทั้งในระดับเศรษฐกิจ ธุรกิจ ตลาดการเงิน นโยบายภาครัฐ และความเป็นอยู่ของประชาชน โดยไอเอ็มเอฟมองว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวลดลงปีนี้และปีหน้า แต่ไม่ถดถอย เพราะความเข้มแข็งที่มีอยู่
เรื่องนี้ ตลาดการเงินมีทั้งเห็นด้วยและมองต่างกับไอเอ็มเอฟ ที่เห็นด้วยคือความเห็นส่วนใหญ่ที่มองว่าเศรษฐกิจปีนี้จะชะลอ ไม่ถดถอย อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงที่เศรษฐกิจโลกจะแย่ลงก็เป็นเรื่องที่ประมาทไม่ได้ ส่วนที่มองต่างเช่น
เจพี มอร์แกน มองว่ามีความเป็นไปได้ร้อยละ 40 ที่เศรษฐกิจสหรัฐและเศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอยสิ้นปีนี้ คือขยายตัวติดลบสองไตรมาสสุดท้าย ขณะที่ออกซ์ฟอร์ด อีโคโนมิค มองว่าโอกาสที่เศรษฐกิจโลกจะถดถอยปีหน้ามีมากถึง 35%
สิ่งที่ต่างกันในสองมุมมองนี้ คือ การประเมินผลกระทบที่ความไม่แน่นอนที่มีขณะนี้จะมีต่อเศรษฐกิจโลกในระยะต่อไปที่มองต่างกัน โดยกลุ่มที่มองว่าเศรษฐกิจโลกจะถดถอยมองผลกระทบเป็นลบและรุนแรงกว่ากลุ่มแรก ความไม่แน่นอนที่สำคัญขณะนี้คือ
1.นโยบายเศรษฐกิจสหรัฐรวมถึงประเด็นภูมิรัฐศาสตร์ 2. ทิศทางนโยบายการเงินสหรัฐ 3. ภาวะฟองสบู่ในตลาดหุ้นสหรัฐและตลาดทองคำ สามเรื่องนี้ไม่มีใครรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่ถ้าเกิดขึ้นและส่งผลทางลบ ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกจะมาก
นโยบายเศรษฐกิจสหรัฐที่ภาคธุรกิจห่วงคือ การค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะรายละเอียดของภาษีทรัมป์ในเรื่องการเปิดตลาดและมาตรการกีดกันทางการค้าว่าจะมีอะไรเพิ่มเติมอีกหรือไม่ โดยเฉพาะถ้าข้อมูลเศรษฐกิจเริ่มออกมาว่าผลที่ฝ่ายการเมืองสหรัฐหวังจากการขึ้นภาษีนำเข้าไม่เป็นตามเป้า เช่น การลดการขาดดุลการค้า ที่ผ่านมาเศรษฐกิจโลกปรับตัวได้ดีจากอัตราภาษีที่สูงขึ้น
แต่ถ้าสหรัฐมีมาตรการกีดกันทางการค้าเพิ่มเติม การค้าระหว่างประเทศและเศรษฐกิจโลกก็จะยิ่งถูกกระทบ นี่คือความไม่แน่นอนเช่นเดียวกับภูมิรัฐศาสตร์ ถ้าความขัดแย้งที่มีอยู่บานปลายหรือขยายวง กระทบอุปทานสินค้าและห่วงโซ่การผลิต เศรษฐกิจโลกก็จะถูกกระทบมากขึ้นเช่นกัน นี่คือความไม่แน่นอนที่หนึ่ง
ในแง่นโยบายการเงิน ขณะนี้ธนาคารกลางหลายประเทศ เช่น กลุ่มยูโร อังกฤษ สวิตเซอร์แลนด์ กำลังลดดอกเบี้ยเพื่อหลีกเลี่ยงการชะลอตัวของเศรษฐกิจ สหรัฐก็เพิ่งปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกเดือนที่แล้วและตลาดคาดว่าจะลดอีกสองครั้งก่อนสิ้นปี ที่ไม่ชัดเจนคือ อัตราเงินเฟ้อสหรัฐจะลดลงหรือไม่จากนี้ไปเพราะอัตราภาษีที่เพิ่มสูงขึ้น
ถ้าไม่ลงหรือเงินเฟ้อสูงขึ้น ธนาคารกลางสหรัฐคงชะลอการปรับลงอัตราดอกเบี้ย ภาวะดังกล่าวจะไม่ดีต่อเศรษฐกิจสหรัฐ ตลาดแรงงาน สภาพคล่อง และความสามารถในการชําระหนี้ของรัฐบาลสหรัฐ และถ้าอัตราดอกเบี้ยต้องยืนอยู่ในระดับสูงนาน ก็เป็นความเสี่ยงที่จะผลักให้เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอย นี่คือความไม่แน่นอนที่สอง
ความไม่แน่นอนที่สามคือ อะไรจะเกิดขึ้นในตลาดหุ้นสหรัฐและตลาดทองคำที่ตอนนี้บูมมาก ตลาดหุ้นสหรัฐได้แรงหนุนจากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงและภาวะบูมในธุรกิจเอไอและดิจิทัลเทคโนโลยี จนสถานการณ์ตลาดตอนนี้คล้ายฟองสบู่
ส่วนราคาทองคำก็เป็นนิวไฮต่อเนื่อง ได้ประโยชน์จากการปรับพอร์ตของนักลงทุนสถาบัน นักลงทุนรายย่อยและธนาคารกลางเพื่อลดความเสี่ยงเงินเฟ้อและการลงทุนในสินทรัพย์สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากทองคำเป็นตลาดเล็ก อุปทานมีจำกัด ราคาจึงปรับขึ้นเร็ว
ความห่วงใยคือ การปรับขึ้นของราคาในทั้งสองตลาดอาจสูงเกินปัจจัยพื้นฐาน และถ้าในที่สุด ราคาต้องกลับสู่ระดับที่เป็นพื้นฐาน การปรับตัวอาจรุนแรง สร้างความเสี่ยงต่อเสถียรภาพการเงิน กระทบสภาพคล่องในระบบการเงินและเศรษฐกิจ
นี่คือความไม่แน่นอนที่รออยู่ ที่ไม่มีใครรู้ว่าในที่สุดจะไปทางไหน เมื่อไร และอันไหนจะเกิดขึ้น แต่ที่แน่ๆ คือ ผลต่อเศรษฐกิจโลกจะมากถ้าออกมาลบ ความเห็นผมคือเศรษฐกิจถดถอยมีโอกาสสูงที่จะเกิดขึ้น และจะเป็นผลจากหลายปัจจัยพร้อมกัน และเมื่อเกิดขึ้นการปรับตัวจะรุนแรงแต่ยังไม่ใช่วิกฤติเศรษฐกิจ
เพราะวิกฤติเศรษฐกิจจะโยงกับเรื่องความเป็นหนี้ในระบบเศรษฐกิจ ความสามารถในการชําระหนี้ และความเชื่อมั่นของตลาดการเงินเป็นสําคัญ ทำให้หนี้ภาครัฐในสหรัฐ อังกฤษและญี่ปุ่น ขณะนี้เป็นจุดอ่อนไหวกว่าในแง่วิกฤติเศรษฐกิจ เป็นประเด็นที่ต้องติดตามใกล้ชิด







