กพท.ครบรอบ 10 ปี ประกาศยุทธศาสตร์ เดินหน้าดันไทยสู่ฮับการบิน

กพท.ครบรอบ 10 ปี ประกาศยุทธศาสตร์ เดินหน้าดันไทยสู่ฮับการบิน

กพท.ครบรอบ 10 ปี ประกาศพร้อมดันอุตสาหกรรมการบินของไทย ก้าวสู่อนาคตที่ปลอดภัย ยั่งยืน และเป็นศูนย์กลางการบิน

พลอากาศเอก มนัท ชวนะประยูร ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) หรือ กพท. กล่าวปาฐกถาพิเศษ สะท้อนเส้นทางแห่งความท้าทายและความสำเร็จ ภายในงานครบรอบ 10 ปีการก่อตั้ง CAAT โดยระบุว่า CAAT ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2558 จากเจตนารมณ์ของประเทศในการยกระดับระบบกำกับดูแลความปลอดภัยการบินให้เทียบเคียงมาตรฐานสากล ภายใต้กฎหมายจัดตั้งเฉพาะและอำนาจหน้าที่ที่ชัดเจน

นับแต่นั้น CAAT ได้ทำหน้าที่ Regulator ดูแลน่านฟ้าไทยให้ปลอดภัย และสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้โดยสารและผู้ประกอบการการบินอย่างต่อเนื่อง โดยตลอดทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยได้ผ่านหมุดหมายสำคัญหลายครั้ง โดยเฉพาะการ “ปลดธงแดง ICAO” ในเดือนตุลาคม 2560 ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการแก้ไขข้อบกพร่องเชิงระบบ และการกลับมาของความเชื่อมั่นต่อการบินไทยอย่างแท้จริง

กพท.ครบรอบ 10 ปี ประกาศยุทธศาสตร์ เดินหน้าดันไทยสู่ฮับการบิน

กระทั่งในปี 2568 ประเทศไทยก้าวสู่ความสำเร็จอีกครั้ง เมื่อองค์การบริหารการบินแห่งชาติสหรัฐฯ หรือ FAA ประกาศให้ไทยกลับสู่สถานะ IASA Category 1 เมื่อวันที่ 22 เมษายนที่ผ่านมา สะท้อนถึงระบบกำกับดูแลความปลอดภัยที่ได้มาตรฐานสากล และเปิดทางสู่การฟื้นเส้นทางบินตรงไทย–สหรัฐฯ รวมถึงการเชื่อมต่อเครือข่ายการบินระหว่างทวีปที่กว้างขวางยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ ระหว่างวันที่ 27 สิงหาคม – 8 กันยายน 2568 ประเทศไทยยังผ่านการตรวจสอบระบบการกำกับดูแลด้านความปลอดภัยภายใต้โครงการ ICAO USOAP CMA และได้รับคะแนนเบื้องต้น (Preliminary Score) 87.71 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกอย่างมีนัยสำคัญ ตัวเลขนี้สะท้อนถึงความแข็งแรงของกฎหมาย โครงสร้างองค์กร บุคลากร กระบวนการกำกับ และวัฒนธรรมความปลอดภัยของไทยที่เข้มแข็ง

กพท.ครบรอบ 10 ปี ประกาศยุทธศาสตร์ เดินหน้าดันไทยสู่ฮับการบิน

ขณะเดียวกัน CAAT ยังเตรียมเข้ารับการตรวจด้านการรักษาความปลอดภัยในโปรแกรม ICAO USAP ในเดือนพฤศจิกายนนี้ ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งบททดสอบสำคัญที่สะท้อนประสิทธิภาพของระบบการกำกับดูแลการบินของไทย CAAT ยังให้ความสำคัญกับการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระดับนานาชาติ โดยร่วมงานกับพันธมิตรสำคัญอย่าง EASA และ DGAC France ในการพัฒนากฎ มาตรฐาน และบุคลากร รวมถึงการทำงานกับ Airbus และ Boeing เพื่อผลักดันวิสัยทัศน์ “Aviation Hub” ของประเทศไทย

ทั้งนี้ การดำเนินงานดังกล่าว CAAT ได้วางกรอบการดำเนินงานที่สำคัญ ซึ่งตอบสนองต่อยุทธศาสตร์ชาติ และนโยบายสำคัญของรัฐสำหรับทศวรรษใหม่ 4 เสาหลัก ได้แก่

ความปลอดภัย (Safety): ยกระดับการกำกับดูแลแบบการบริหารความเสี่ยง risk-based oversight โดยใช้ดิจิทัลและข้อมูลเป็นเครื่องมือหลัก

ความยั่งยืน (Sustainability): ร่วมสร้างเศรษฐกิจที่ลดการปล่อยคาร์บอน ด้วยการส่งเสริมการใช้เชื้อเพลิงการบิน SAF พร้อมสนับสนุนการลงทุนในห่วงโซ่อุปทาน SAF ที่เชื่อมโยงเกษตร อุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ ไว้ด้วยกัน ซึ่งเป็นไปตามพันธกรณีระหว่างประเทศตามมาตรการ CORSIA (Carbon Offsetting and Reduction Scheme for International Aviation) ของ ICAO  

ความทันสมัยและนวัตกรรม (Innovation): นำปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI มาใช้ในการตรวจสอบเอกสารเบื้องต้นเพื่อลดเวลาการขออนุญาตต่างๆ โดยให้มีการติดตามสถานะแบบ real time พร้อมเตรียมใช้ระบบ Fast Track ในการออกใบอนุญาต การกำหนดหลักเกณฑ์และระบบขออนุญาตต่าง ๆ ให้มีความทันสมัย  กระชับ ชัดเจน 

ศูนย์กลางการบินและระบบนิเวศอุตสาหกรรม (Aviation Hub & MRO): บูรณาการการทำงานเพื่อผลักดันยุทธศาสตร์ “Aviation Hub” ร่วมกับหน่วยงานรัฐและเอกชน

กพท.ครบรอบ 10 ปี ประกาศยุทธศาสตร์ เดินหน้าดันไทยสู่ฮับการบิน

โดยเน้นหลัก 4 แกนหลัก

1. ความจุสนามบิน และโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมต่อ

2. ระบบอำนวยความสะดวกและมาตรฐานบริการผู้โดยสาร (service quality) ที่สอดคล้องกติกาสากล

3. การพัฒนาอุตสาหกรรมซ่อมบำรุงอากาศยานครบวงจร (MRO) และระบบนิเวศเพื่อการบิน ทั้งฮับซัพพลายเชน ช่างอากาศยาน และมาตรฐานชิ้นส่วนและเอกสาร

4. การสนับสนุนการจัดตั้ง Training Center หรือศูนย์พัฒนาบุคลากรการบิน โดยแผนดังกล่าวได้รับการขับเคลื่อนคู่ขนานกับการพัฒนาสนามบินหลักโดย AOT และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

พลอากาศเอก มนัท กล่าวด้วยว่า ทิศทางดำเนินงานหลังจากนี้ CAAT จะเดินหน้าตามหลักการสำคัญ 3 ประการ คือ การยึดความปลอดภัยเป็นลำดับแรก การทำงานในบทบาท Facilitator เพื่อให้อุตสาหกรรมเติบโตบนกติกาที่โปร่งใส และการสื่อสารตรงไปตรงมาเพื่อสร้างความเชื่อมั่นร่วมกัน และในปีหน้าไทยยังได้รับความเชื่อมั่นจาก ICAO ให้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับโลก Advance Air Mobility Symposium (AAM) 2026 สะท้อนว่าไทยกำลังก้าวจากความสำเร็จสู่ความยั่งยืน และจากมาตรฐานสู่ความเป็นผู้นำของภูมิภาค