กทม.สุดยื้อค่าโดยสาร 'สายสีเขียว' อุ้มภาระขาดทุนปีละ 6,000 ล้าน

กทม.สุดยื้อค่าโดยสาร 'สายสีเขียว'  อุ้มภาระขาดทุนปีละ 6,000 ล้าน

“ชัชชาติ” สางหนี้จ้างเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียว 31 ต.ค.นี้ จ่ายจบ 3.2 หมื่นล้านบาท พร้อมประกาศเตรียมปรับขึ้นค่าโดยสาร หลังแบกรับภาระขาดทุนช่วงส่วนต่อขยายปีละกว่า 6,000 ล้านบาท

KEY

POINTS

  • กทม. แบกรับภาระขาดทุนจากรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายปีละกว่า 6,000 ล้านบาท เนื่องจากมีค่าจ้างเดินรถประมาณ 8,000 ล้านบาท แต่จัดเก็บค่าโดยสารได้เพียง 2,000 ล้านบาท
  • สาเหตุของการขาดทุนมาจากการกำหนดอัตราค่าโดยสารส่วนต่อขยายไว้ที่ 15 บาทตลอดสาย ซึ่งไม่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง
  • กทม. อยู่ระหว่างพิจารณาปรับโครงสร้างค่าโดยสารใหม่ตามระยะทาง เพื่อแก้ปัญหาขาดทุน โดยคาดว่าอัตราสูงสุดตลอดสายจะไม่เกิน 65 บาท

โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว เป็นระบบขนส่งมวลชนประเภทรถไฟฟ้าสายแรกของประเทศไทย โดยกลุ่มบริษัท ธนายง จำกัด ชนะประมูล และตั้งบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด หรือ BTSC ซึ่งได้รับสัญญาสัมปทานจากกรุงเทพมหานคร (กทม.) ในการสร้าง และบริหารระบบรถไฟฟ้า

โดยรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนแรกที่เปิดให้บริการ คือ ช่วงหมอชิต - อ่อนนุช และช่วงสนามกีฬาแห่งชาติ - สะพานตากสิน เปิดให้บริการเมื่อปี 2542 มีระยะเวลาสัมปทาน 30 ปี ตั้งแต่ปี 2542 - 2572

หลังจากนั้น กทม.ได้ขยายโครงข่ายรถไฟฟ้าสายสีเขียว และยังคงให้สัมปทาน BTSC ในการบริหารจัดการ ประกอบด้วย

ปี 2555 สัญญาจ้างเดินรถส่วนต่อขยายที่ 1 สะพานตากสิน - วงเวียนใหญ่ และอ่อนนุช - แบริ่ง 

ปี 2556 สัญญาจ้างเดินรถส่วนต่อขยายที่ 1 วงเวียนใหญ่ – ตลาดพลู - บางหว้า

ปี 2560-2563 สัญญาจ้างเดินรถส่วนต่อขยายที่ 2 แบริ่ง - สมุทรปราการ และหมอชิต - คูคต

ทั้งนี้ปัจจุบัน กทม. แบ่งสัญญาบริหารรถไฟฟ้าสายสีเขียวออกเป็น 3 ส่วน คือ

ส่วนหลัก หรือส่วนสัมปทาน ช่วงหมอชิต - อ่อนนุช และช่วงสนามกีฬาแห่งชาติ - สะพานตากสิน

  • กรุงเทพมหานครให้สัมปทานเอกชน 30 ปี ระหว่าง 5 ธ.ค.2542 - 4 ธ.ค.2572
  • หลังจากนั้นเปลี่ยนเป็นสัญญาจ้างเดินรถ ระหว่าง 5 ธ.ค.2572 - 2 พ.ค.2585

ส่วนต่อขยาย 1 สายสุขุมวิท (อ่อนนุช-แบริ่ง) และสายสีลม (ตากสิน-บางหว้า)

  • กรุงเทพมหานครว่าจ้าง BTSC เป็นผู้บริหารระบบ 30 ปี ระหว่าง 2 พ.ค.2555 - 2 พ.ค.2585

ส่วนต่อขยาย 2 ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ และหมอชิต-คูคต

  • กรุงเทพมหานครว่าจ้าง BTSC เป็นผู้บริหารระบบ 26 ปี ระหว่าง 28 ก.ค.2559 - 2 พ.ค.2585

ทั้งนี้ จากสัญญาจ้างบริหาระบบของส่วนต่อขยายที่ 1 และส่วนต่อขยายที่ 2 กลายเป็นมหากาพย์การฟ้องร้องจาก BTSC เพื่อขอรับค่าจ้างงานเดินรถไฟฟ้าและซ่อมบำรุง (O&M) เนื่องจาก กทม. ค้างจ่ายสะสมตั้งแต่ปี 2560 เมื่อครั้งการเปิดเดินรถช่วงสถานีสำโรง-สถานีปู่เจ้าสมิงพราย ในวันที่ 3 เม.ย. 2560 แต่ยังไม่มีการชำระค่าจ้าง และหนี้เพิ่มอย่างต่อเนื่อง

จนกระทั่งเมื่อวันที่ 11 เม.ย.2562 คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีคำสั่งตามมาตรา 44 ที่ 3/2562 เรื่อง การดำเนินการโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว เพื่อให้การเดินรถเป็นไปอย่างต่อเนื่องเป็นโครงข่ายเดียวกัน (Through Operation) โดยให้กระทรวงมหาดไทยตั้งคณะกรรมการดูแลการต่อสัญญาสัมปทานให้ BTSC แลกกับภาระหนี้สินรถไฟฟ้าสายสีเขียว ขณะที่ปัจจุบันไม่มีเงื่อนไขการเจรจาดังกล่าวแล้ว แต่ กทม.ยังคงไม่ชำระค่าจ้างงานต่างๆ จึงเป็นผลทำให้ BTSC ต้องนำเรื่องเข้าสู่ขั้นตอนทางกฎหมาย

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ว่าฯ กทม.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการเตรียมชำระหนี้โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว โดยระบุว่า หลังศาลปกครองมีคำสั่งให้กรุงเทพมหานครชำระหนี้คดีจ้างเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียว ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการนำเงินสะสมจ่ายขาดมาชำระหนี้ คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ภายในวันที่ 31 ต.ค.นี้ รวมแล้วเป็นจำนวนประมาณ 32,000 ล้านบาท

ขณะที่การบริหารงานในช่วงที่ผ่านมา เนื่องด้วยกำหนดจัดเก็บค่าโดยสารช่วงส่วนต่อขยายอยู่ที่ 15 บาทตลอดสาย ส่งผลให้ปัจจุบัน กทม.ต้องจ่ายค่าจ้างเดินรถประมาณปีละ 8,000 ล้านบาท ขณะที่การเก็บค่าโดยสาร สามารถเก็บได้เพียงประมาณ 2,000 ล้านบาท โดยรวม กทม.ขาดทุนปีละกว่า 6,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ดี แม้อัตราค่าโดยสารไม่เกี่ยวข้องกับการชำระหนี้โดยตรง แต่ต้องนำงบประมาณส่วนอื่นมาชดเชย ซึ่งอาจไม่เป็นธรรมกับประชาชนที่ไม่ได้ใช้บริการ เนื่องจากเงินที่นำมาใช้ล้วนเป็นเงินภาษี ดังนั้น กทม.จึงอยู่ระหว่างพิจารณาปรับโครงสร้างค่าโดยสารใหม่ให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยคาดว่าราคาจะไม่เกิน 65 บาทตลอดสาย

ทั้งนี้ อัตราค่าโดยสารบางช่วงอาจถูกลง เช่น เส้นทางสั้นๆ ภายในเมือง ส่วนผู้โดยสารที่เดินทางระยะไกลอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นตามระยะทาง ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาเรื่องดังกล่าวอยู่ โดยยืนยันว่า กทม.จะบริหารจัดการเรื่องดังกล่าวอย่างโปร่งใส บนพื้นฐานของความเป็นจริง และยึดประโยชน์ของประชาชนอย่างสูงสุด