สรท.มั่นใจส่งออกปี 68 โต 5 % แม้ไตรมาส4 ชะลอตัวจากภาษีทรัมป์ -เงินบาท

สรท.มั่นใจส่งออกปี 68 โต 5 % แม้ไตรมาส4 ชะลอตัวจากภาษีทรัมป์ -เงินบาท จี้รัฐดูแลเสถียรภาพเงินบาท ทบทวน (ร่าง) พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ...หวั่นกระทบภาคการผลิต
นายธนากร เกษตรสุวรรณ ประธานสภาผู้ส่งออกสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยว่า การส่งออกไทย 7 เดือนแรกปี 68 (ม.ค.-ส.ค.) มีมูลค่า 223,175 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 13.3 % ขยายตัว 4.7 % หักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับ น้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย ขยายตัว ที่ 13.3 % ในขณะที่ การนำเข้ามีมูลค่า 224,880 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 11.3 % ส่งผลให้ดุลการค้า ของประเทศไทยในเดือนม.ค.- ส.ค. 2568 ขาดดุลเท่ากับ 1,700 ล้านดอลลาร์
สำหรับ แนวโน้มการส่งออก แต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม คาดว่า ไตรมาส 4 จะขยายตัว ได้แก่ ไก่ สินค้ากลุ่มกาแฟ ส่วนประกอบยานยนต์ ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ขณะที่ กลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดว่าไตรมาส 4 จะหดตัว ได้แก่ สินค้าเครื่องนุ่งห่ม ยานยนต์ อาหาร และยางพารา
คาดว่า ไตรมาส 4 ของปีนี้ (4 เดือนที่เหลือของปี) ตัวเลขส่งออกจะทรงตัว หรือ อาจติดลบ แต่มองว่าไม่ใช่ตัวเลขที่แย่ ประกอบกับตัวเลขฐานของปี 67 สูง ซึ่งเป็นผลมาจากภาษีทรัมป์ ทำให้การส่งออกเริ่มชะลอตัว แต่ก็โชคดีที่ไทยโดนสหรัฐเก็บภาษี 19 % ซึ่งใกล้เคียงกับประเทศคู่แข่งที่โดนเก็บภาษีอยู่ที่ 19-20 % ทำให้สามารถแข่งขันได้ นอกจากนี้ค่าระวางเรือในช่วงปลายปีก็ลดลง
ทั้งนี้ สรท. ยังเชื่อมั่นว่าการส่งออกปี 2568 จะเติบโต 5 % ซึ่งเป็นผลจากการเติบโตอย่างมากของการส่งออกในช่วงไตรมาส 1-2 ที่ผ่านมา ส่งผลให้แม้การส่งออกของไทยจะเริ่มชะลอตัวลงในไตรมาส 3-4 ยังทำให้ภาพรวมการส่งออกไทยตลอดทั้งปีนี้ยังมีการเติบโต
ส่วนการส่งออกในปี 2569 คาดว่า ถ้ามาตรการต่างๆ ที่ได้นำเสนอต่อรัฐบาลไป โดยเฉพาะการแก้ปัญหาเงินบาทแข็งค่า แรงงาน ต้นทุนการเงิน SME ก็เชื่อว่าตัวเลขส่งออกจะ เติบโตใกล้เคียงกับปีนี้
นายธนากร กล่าวว่า อย่างไรก็ตามสรท.มีความเป็นห่วงค่าเงินบาทที่แข็งค่า โดยที่ผ่านมาค่าเงินบาทไทยแข็งค่ามากเมื่อเทียบกับคู่แข่ง โดยในเดือนก.ย.ค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับต้นปี แข็งค่าขึ้น 5.31 % เมื่อเทียบกับต้นปี ขณะที่เวียดนาม ค่าเงินอ่อนลง 3% ซึ่งทำให้การส่งออกไทยแข่งขันยากขึ้น
โดยทางสรท.ได้ขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)เข้ามาดูแลว่าการแข็งค่าของเงินบาทเกิดจากอะไรกันแน่ ซึ่งเอกชนให้ความเห็นไปแล้ว เช่น การส่งออกทองคำสูงมาในช่วงที่ผ่านมา มีความผิดปกติ หรือใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่าน เพราะการส่งออกไปเงินดอลลาร์เข้ามา แต่เงินดอลลาร์นี้ยังอยู่ที่ประเทศไทย ซึ่งเราก็ไม่เข้าใจว่านี่เป็นเงินอะไร อาจจะเป็นเงินสีเทาก็ได้ ซึ่งอันนี้รัฐบาลและธปท.ต้องเข้าไป ดูจริงๆ ว่า ทำไมถึงปล่อยให้มันมีผิดเพี้ยน ทั้งนี้ ตัวเลขที่เราเคยพูดมาตลอดว่าตัวเลขที่เรายังอยู่อันดับที่พึงพอใจคือประมาณ 33 - 34 บาทต่อดอลลาร์
สำหรับ ปัจจัยเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยในระยะที่เหลือของปี 2568 และปี 2569 ประกอบด้วยมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ (Reciprocal Tariff) เริ่มส่งผลให้เกิดความผันผวนในระบบเศรษฐกิจทั่วโลก และสะท้อนความเปราะบางของการค้าโลกในระยะต่อจากนี้ไป
1.ค่าเงินบาทแข็งค่าสูงกว่าประเทศคู่ค้าและคู่แข่งอื่นในภูมิภาค ซึ่งแม้จะเกิดจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็ว แต่ยังมีปัจจัยอื่นเป็นตัวเร่งเพิ่มเติม และมีผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกอย่างยิ่ง
2.ข้อจำกัดในการเข้าถึงสินเชื่อของผู้ประกอบการรายย่อย โดยเฉพาะการขาดหลักทรัพย์ค้ำประกัน ส่งผลให้ขาดเงินทุนสำหรับการขยายตัวทางธุรกิจ และรวมถึงทำให้การหาตลาดใหม่ชดเชยตลาดเก่าทำได้ในวงจำกัด
3.การขาดแคลนวัตถุดิบสำหรับการผลิตเพื่อส่งออก ซึ่งสืบเนื่องจากผลผลิตทางการเกษตรในประเทศไม่เพียงพอต่อความต้องการ รวมถึงข้อจำกัดในการนำเข้าวัตถุดิบสำหรับการผลิตเพื่อ
4.ปัญหาการสวมสิทธิเพื่อ Re-export สินค้าไม่มีคุณภาพหรือไม่มีมาตรฐาน ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์สินค้าไทยในภาพรวม
นายคงฤทธิ์ จันทริก ผู้อำนวยการบริหาร สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวว่า สรท. มีข้อเสนอแนะที่สำคัญ 7 ข้อหลัก เพื่อให้รัฐบาลและหน่วยงานภาครัฐ เร่งดำเนินการ ประกอบด้วย
1.กำกับดูแลค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพ และสอดคล้องกับทิศทางค่าเงินของภูมิภาค และสนับสนุนให้ผู้ประกอบการสามารถป้องกันความเสี่ยงค่าเงินบาทด้วยต้นทุนที่เหมาะสม
2.กำกับดูแลและเร่งปรับลดต้นทุนการประกอบธุรกิจ ประกอบด้วย อัตราดอกเบี้ยนโยบาย และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์ ต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับแรงงาน ต้นทุนพลังงาน รวมถึงชะลอการออกกฎหมายหรือการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมจากการประกอบธุรกิจ
อาทิ ขอให้ทบทวน (ร่าง) พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ... และขอให้มีผู้แทนภาคเอกชนเข้าร่วมในการพิจารณาร่างกฎหมาย เพื่อสะท้อนความเห็นและมุมมองต่อการปรับปรุงกฎหมายให้ครอบคลุมทุกภาคส่วน รวมถึงการกำหนดกลไกช่วยเหลือนายจ้างที่ไม่สามารถแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นและจำเป็นต้องปรับขึ้นราคาสินค้า ซึ่งจะกระทบกับภาคประชาชนในภาพรวม การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ขอให้เป็นไปตามกลไกคณะกรรมการไตรภาคี หรือคณะกรรมการค่าจ้าง
“มีความกังวลมากต่อ (ร่าง) พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ... และเชื่อว่า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย และจะคัดค้าน เนื่องจากทำให้ต้นทุนของผู้ประกาศประกอบการเพิ่มสูงขึ้น 16% โดยอยากขอให้พิจารณาอย่างรอบด้าน โดยในช่วงบ่ายของวันนี้ (10 ต.ค.68) จะยื่นหนังสือไปยังประธานรัฐสภาเพื่อให้พิจารณา“ นายคงฤทธิ์ กล่าว
3.เร่งรัดการพิจารณาอนุมัติและเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ รวมถึงเพิ่มวงเงินงบประมาณสำหรับการจัดกิจกรรมส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ และเร่งรัด/ขยายการเจรจาความตกลง FTA ให้ครอบคลุมประเทศคู่ค้าสำคัญ จัดสรรงบประมาณเพื่อให้มีกองทุน SME สำหรับการร่วมลงทุนกับภาคเอกชนรายย่อยซึ่งมีโอกาสทางธุรกิจแต่ขาดเงินทุน และให้ซื้อทุนคืนจากรัฐเมื่อเอกชนรายนั้นมีความสามารถทางการเงินเพียงพอ
4.เร่งแก้ไขปัญหาโลจิสติกส์การค้า โดยเฉพาะปัญหาความแออัดท่าเรือแหลมฉบังให้เป็นรูปธรรมและกำหนดแนวทางดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามข้อเสนอของภาคเอกชน
5.เพิ่มความเข้มงวดและกำกับดูแลมาตรฐานราคา ภาษีสินค้านำเข้า ทั้งในรูปของการค้าปกติและการค้าในรูปแบบออนไลน์ เพื่อปกป้องความปลอดภัยของผู้บริโภคและให้มีการแข่งขันอย่างเป็นธรรมกับผู้ประกอบการในประเทศ
6.เพิ่มความเข้มงวดการตรวจสอบการสวมสิทธิ์สินค้าไทยในการส่งออกไปยังประเทศที่ 3
7.สานต่อนโยบายที่ดีและมุ่งเน้นสร้างความโปร่งใสในการบริหารจัดการงบประมาณ เพื่อให้สามารถใช้งบประมาณให้เกิดความคุ้มค่าต่อประเทศมากที่สุด ด้วยการ ยกระดับรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (Digital Government) ออกกฎหมายสำหรับกระบวนการทำงานใหม่ในระบบดิจิทัล เพื่อต่อต้านการคอร์รัปชั่น






