เวียดนามเข้มนำเข้า ปิดช่องโหว่การค้าผิดกฎหมาย ตั้งเป้าฮับโลจิสติกส์ระดับภูมิภาค

สคต.โฮจิมินห์ เวียดนาม เผย กระทรวงอุตสาหกรรมเวียดนาม เตรียมยกร่าง ร่างกฤษฎีกาฉบับใหม่ คุมเข้มสินค้านำเข้าเพื่อส่งออกกลับ มุ่งยกระดับการค้าเพื่อความโปร่งใส เอื้อลงทุน ดันเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ในภูมิภาค
KEY
POINTS
- เวียดนามเตรียมออกกฎหมายใหม่เพื่อควบคุมการนำเข้าสินค้าชั่วคราวเพื่อส่งออกกลับ โดยจำกัดระยะเวลาเก็บรักษาสินค้าสูงสุดไม่เกิน 60 วัน
- มีเป้าหมายเพื่อปิดช่องโหว่การค้าที่ผิดกฎหมาย ป้องกันการลักลอบถ่ายลำสินค้า (Transshipment) และลดความเสี่ยงข้อพิพาททางการค้ากับคู่ค้าสำคัญ
- มาตรการนี้มุ่งสร้างสภาพแวดล้อมทางการค้าที่โปร่งใส สร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน และผลักดันเวียดนามสู่การเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ระดับภูมิภาค
เว็ปไซต์กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ โดยสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (สคต.) ณ นครโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม รายงานว่า
กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าเวียดนาม กำลังจัดทำร่างกฤษฎีกาฉบับใหม่เพื่อแทนที่กฤษฎีกาเลขที่ 69/2018 ว่าด้วยการบริหารการค้าต่างประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความเข้มงวดในการกำกับดูแลกิจกรรมการนำเข้าแบบชั่วคราว (Temporary Importation) เพื่อส่งออกกลับ (Re-exportation)
มาตรการใหม่นี้กำหนดให้สินค้านำเข้าแบบชั่วคราวสามารถเก็บรักษาได้สูงสุดไม่เกิน 60 วัน และอนุญาตให้ขยายเวลาได้เพียงสองครั้ง ครั้งละไม่เกิน 30 วัน ซึ่งแตกต่างจากกฎหมายเดิมที่ไม่กำหนดกรอบเวลาชัดเจน มาตรการดังกล่าวมีจุดมุ่งหมายเพื่อยกระดับระบบการค้าของเวียดนามให้โปร่งใสและลดความเสี่ยงจากการค้าผิดกฎหมาย (Illicit Trade)
ที่ผ่านมา เวียดนามเผชิญปัญหาการใช้การนำเข้าแบบชั่วคราวเป็นช่องทางของการค้าผิดกฎหมาย โดยเฉพาะเส้นทางจากนครโฮจิมินห์ไปกัมพูชาและเส้นทางการนำเข้าสินค้ากลับจากกัมพูชา (Return Import Route) ซึ่งทำให้ด่านชายแดนสำคัญหลายแห่ง เช่น จังหวัดบิ่นห์เฟือก เตนินห์ ลองอาน ด่งท้าบ อานยาง และเกียนยาง ตกอยู่ภายใต้แรงกดดันอย่างต่อเนื่อง
การออกมาตรการใหม่ที่กำหนดกรอบเวลาและบังคับให้สินค้าผ่านเฉพาะ ด่านระหว่างประเทศและด่านหลักของประเทศ (International and Main Border Gates) ถือเป็นแนวทางสำคัญในการลดความเสี่ยง เพิ่มประสิทธิภาพการตรวจสอบ และป้องกันความสูญเสียด้านรายได้ภาษีและความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
ในเชิงธุรกิจ แม้มาตรการนี้อาจสร้างแรงกดดันต่อผู้ประกอบการที่เคยใช้เวียดนามเป็นฐานพักสินค้าระยะยาว แต่ในระยะยาวมาตรการควบคุมดังกล่าวจะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมทางการค้าที่โปร่งใสและลดความเสี่ยงที่เวียดนามจะถูกใช้เป็นฐานสำหรับการถ่ายลำสินค้า (Transshipment) ที่ผิดกฎหมาย ทั้งยังช่วยป้องกันข้อพิพาททางการค้ากับคู่ค้าสำคัญ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาซึ่งเพิ่งประกาศใช้ภาษีตอบโต้ 20 % สำหรับสินค้าจากเวียดนาม และจัดเก็บภาษีสูงถึง 40 % สำหรับสินค้าที่ถูกระบุว่ามีการถ่ายลำ (Transshipment)
ในเชิงยุทธศาสตร์ มาตรการใหม่นี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเวียดนามในการวางรากฐานสู่การเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ระดับโลกและจุดเชื่อมโยงการค้าสำคัญในภูมิภาค การยกระดับระบบการค้าให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลไม่เพียงแต่สร้างความเชื่อมั่นจากคู่ค้าต่างประเทศ แต่ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันการพัฒนาอุตสาหกรรมโลจิสติกส์และอุตสาหกรรมสนับสนุน ซึ่งจะมีบทบาทเชิงยุทธศาสตร์ต่อการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของเวียดนามในระยะยาว
การปรับเปลี่ยนเชิงนโยบายด้านการค้าของเวียดนาม โดยเฉพาะร่างกฤษฎีกาที่จะมาแทนที่กฤษฎีกาเลขที่ 69/2018/NĐ-CP ซึ่งเพิ่มความเข้มงวดต่อกิจกรรมการนำเข้าสินค้าชั่วคราวเพื่อส่งออกกลับผ่านการกำหนดระยะเวลาเก็บรักษาสินค้าสูงสุดไม่เกิน 60 วัน ถือเป็นมาตรการที่มีนัยสำคัญต่อทั้งภาครัฐและภาคธุรกิจ
“มาตรการนี้มุ่งลดความเสี่ยงจากการลักลอบนำเข้าและการหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากร ตลอดจนยกระดับความโปร่งใสของระบบการอำนวยความสะดวกทางการค้าและเสริมสร้างความเชื่อมั่นในกลไกการกำกับดูแลทางการค้าระหว่างประเทศของเวียดนาม ซึ่งนับเป็นปัจจัยสำคัญต่อการสร้างบรรยากาศที่ เอื้อต่อการลงทุนและการค้าระดับภูมิภาค"สคต.โฮจิมินห์ ระบุ
ทั้งนี้ สคต.โฮจิมินห์ มีข้อแนะนำสำหรับผู้ประกอบการไทยว่า ผู้ประกอบการไทยสามารถใช้โอกาสนี้ในการยกระดับภาพลักษณ์และสร้างความน่าเชื่อถือของธุรกิจในตลาดเวียดนามและตลาดเชื่อมโยงอื่น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพในมิติการส่งออก มาตรการดังกล่าวจะช่วยลดการแข่งขันจากสินค้าลอกเลียนแบบหรือสินค้าที่ผ่านช่องทางผิดกฎหมาย ซึ่งเคยกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของสินค้าถูกกฎหมายของไทย
ขณะเดียวกัน การที่เวียดนามกำลังพัฒนาตนเองเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ระดับภูมิภาคและจุดเชื่อมต่อของ ห่วงโซ่อุปทานระหว่างประเทศ เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยใช้เวียดนามเป็นจุดกระจายสินค้าไปยังกัมพูชา ลาว จีน และตลาดโลกได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งนี้ การที่เวียดนามมีการกำหนดด่านศุลกากรหลักของประเทศและด่านศุลกากรระหว่างประเทศ เส้นทางผ่านที่ชัดเจนจะช่วยลดความซับซ้อนและความเสี่ยงจากการใช้ ช่องทางการค้าชายแดนย่อยซึ่งมักเป็นพื้นที่ที่มีปัญหาการค้าผิดกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการไทยจำเป็นต้องวางแผนกลยุทธ์การนำเข้า–ส่งออก ให้สอดคล้องกับกฤษฎีกาฉบับใหม่ โดยเฉพาะการบริหารระยะเวลาพักสินค้าชั่วคราวเพื่อไม่ให้เกินกำหนด 60 วัน ตลอดจนจัดเตรียมเอกสารรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Certificate of Origin: C/O) ให้ถูกต้องและโปร่งใส เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในการถูกตีความว่าเป็นการถ่ายลำสินค้า ซึ่งจะถูกเก็บภาษีนำเข้าสูงถึง 40 % ในตลาดสำคัญ เช่น สหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป
นอกจากนี้ การลงทุนในระบบโลจิสติกส์ การตรวจสอบคุณภาพ และการปฏิบัติตามมาตรการควบคุมการค้าระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด จะช่วยให้ผู้ประกอบการไทยใช้มาตรการใหม่นี้เป็นโอกาสในการยกระดับมาตรฐานการดำเนินธุรกิจ เสริมสร้างความยั่งยืนของห่วงโซ่อุปทาน และใช้เวียดนามเป็นทั้งตลาดเชิงกลยุทธ์และฐานกลางในการเชื่อมโยงการค้าระดับภูมิภาคและระดับโลกในระยะยาว







