พาณิชย์ ชี้ โอกาสทอง"ชาไทย"โกอินเตอร์ รับกระแสนิยมชาโลกมาแรง

พาณิชย์ ชี้ โอกาสทอง"ชาไทย"โกอินเตอร์ รับกระแสนิยมชาโลกมาแรง

สนค. เผยสถานการณ์ตลาดชาโลกและไทย ชี้โอกาสทองสำหรับเกษตรกรและผู้ประกอบการไทยในการยกระดับศักยภาพการผลิตและการส่งออก รับมือกระแสความต้องการชาทั่วโลกที่พุ่งสูงขึ้น คาดว่า ตลาดค้าปลีกชาโลกจะขยายตัว 6.1% ต่อปี โดยในปี 2572 จะมีมูลค่าการค้าปลีกชาอยู่ที่ 69,220.10 ล้านดอลลาร์ 

สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์  ได้ติดตามและวิเคราะห์สถานการณ์การค้าสินค้า"ตลาดชาโลกและไทย" พบว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การบริโภคชาได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2568 เกิดปรากฏการณ์กระแสนิยมบริโภคชาเขียวและมัตจะจากสื่อโซเชียลมีเดีย ทำให้มัตจะแท้คุณภาพสูงหาซื้อได้ยากและมีราคาสูงขึ้นอย่างมาก

จากข้อมูลของ International Tea Committee ชี้ว่าสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง ทำให้ผลผลิตชาลดลง ในขณะที่ความต้องการสินค้าชาทั่วโลกพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว อีกทั้งผู้บริโภคบางกลุ่มมีค่านิยมว่ามัตจะเป็นเสมือน "กาเฟอีนสะอาด (Clean Caffeine)" สามารถดื่มทดแทนกาแฟ สอดคล้องกับเทรนด์รักสุขภาพ

สำหรับการผลิตมัตจะจะต้องอาศัยสายพันธุ์พืชเป็นหลัก และยังต้องมีกรรมวิธีการผลิตที่ประณีต รวมถึงใช้แรงงานทักษะฝีมือที่มีประสบการณ์และความชำนาญเฉพาะอีกด้วยสถานการณ์ตลาดชาโลก: มูลค่าสูง-แต่ชาเขียวและชาดำส่งออกหดตัว

บริษัทวิจัยตลาดโลก Euromonitor รายงานว่า ในปี 2567 ตลาดค้าปลีกชาทั่วโลก มีมูลค่า 51,470 ล้านดอลลาร์  ขยายตัว 3.5% จากปีก่อนหน้า โดยชาดำมีสัดส่วน 41.3% ของมูลค่าการค้าปลีกชาทั่วโลก รองลงมา คือ ชาเขียว (22.8%) และชาผลไม้/สมุนไพร (19.5%) ทั้งนี้ คาดว่าตลาดค้าปลีกชาโลกจะขยายตัวเฉลี่ย 6.1% ต่อปี โดยในปี 2572 จะมีมูลค่าการค้าปลีกชาอยู่ที่ 69,220.10 ล้านดอลลาร์

เมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกชา (พิกัดศุลกากร 0902) และผลิตภัณฑ์ชา (พิกัดศุลกากร 210120) ของโลก พบว่า ในปี 2567 การส่งออกมีมูลค่ารวม 9,200.5 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัว 1.9% รายละเอียด ดังนี้ 

1. ชาดำ 5,650.7 ล้านดอลลาร์หดตัว 3.0%

2. ชาเขียว 2,023.5 ล้านดอลลาร์  หดตัว 7.3%    

3. ผลิตภัณฑ์ชา (เช่น สิ่งสกัดจากชา ชาที่ผสมได้ทันที) 1,526.3 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 11.9%

พาณิชย์ ชี้ โอกาสทอง\"ชาไทย\"โกอินเตอร์ รับกระแสนิยมชาโลกมาแรง

สำหรับสถานการณ์ "ชาไทย"จาก ข้อมูลจากสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ในปี 2567 ไทยมีผลผลิตชา 106,643 ตัน เพิ่มขึ้น 0.3% จากปีก่อนหน้า ประเทศไทยมีการปลูกชาอัสสัมเป็นหลัก (93.0%) และคาดการณ์ว่าผลผลิตในปี 2568 จะเพิ่มขึ้นเป็น 107,393 ตัน โดยภาคเหนือเป็นแหล่งปลูกชาที่สำคัญของประทศ

นอกจากนี้ Euromonitor รายงานว่า ในปี 2567 ตลาดค้าปลีกชาของไทย มีมูลค่า 2,262.7 ล้านบาท ขยายตัว 4.2% จากปีก่อนหน้า โดยชาเขียวมีมูลค่าสูงสุดถึง 1,040 ล้านบาท มีสัดส่วน 46.3% ของตลาดชาไทย รองลงมา คือ ชาผลไม้และชาสมุนไพร (23.0%) และชาดำ (13.5%) ทั้งนี้ คาดว่าตลาดชาไทยจะขยายตัวต่อเนื่องเฉลี่ย 2.2% ต่อปี ไปจนถึงปี 2572 ขณะที่มูลค่าตลาดชาพร้อมดื่มของไทย อยู่ที่ 16,834.7 ล้านบาท ขยายตัว 6.8% จากปีก่อนหน้า แสดงถึงแนวโน้มความต้องการชาที่พร้อมดื่มและสะดวกสบายเพิ่มขึ้

ส่วนการส่งออกชาและผลิตภัณฑ์ชาของไทย ในปี 2567 มีมูลค่า 70.2 ล้านดอลลาร์   มูลค่าการส่งออกขยายตัว 13.6% จากปีก่อนหน้า (ปี 2566 ส่งออกเป็นมูลค่า 61.8 ล้านดอลลาร์  ประกอบด้วย

1.ชาดำ ส่งออก 2,460.7  ตัน มูลค่า 13.2 ล้านดอลลาร์  ขยายตัว 38.9%

2.ชาเขียว ส่งออก 1,791.1  ตัน มูลค่า 14.7 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 65.2% 

3. ผลิตภัณฑ์ชา  ส่งออก 10,382.6 ตัน มูลค่า 42.3 ล้านดอลลาร์  หดตัว 2.5%

ขณะที่ การนำเข้าชาและผลิตภัณฑ์ชาของไทย ในปี 2567 มีมูลค่า 51.0 ล้านดอลลาร์  มูลค่าการนำเข้าขยายตัว 13.6% จากปีก่อนหน้า (ปี 2566 นำเข้าเป็นมูลค่า 45.0 ล้านดอลลาร์ ดังนี้ 

1.ชาดำ นำเข้า 13,462.5 ตัน มูลค่า 16.3 ล้านดอลลาร์ขยายตัว 10.9% 

2. ชาเขียว นำเข้า 6,451.3 ตัน มูลค่า 11.8 ล้านดอลลาร์  ขยายตัว 16.8% 

3. ผลิตภัณฑ์ชา นำเข้า 1,381.2 ตัน มูลค่า 22.9 ล้านดอลลาร์  ขยายตัว 13.4% 

สนค.วิเคราะห์ว่า ภาพรวมไทยเกินดุลการค้าในสินค้ากลุ่มชาและผลิตภัณฑ์ชา ทำให้เห็นถึงโอกาสทางการค้าที่ไทยสามารถพัฒนาศักยภาพการผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงลดการพึ่งพาการนำเข้า 

สำหรับในช่วง 8 เดือนแรก (ม.ค. - ส.ค.) ของปี 2568 ไทยส่งออกชาและผลิตภัณฑ์ชา เป็นมูลค่า 53.3 ล้านดอลลาร์  ขยายตัว 21.4% โดยมีตลาดส่งออกที่สำคัญ 5 อันดับแรก ได้แก่ กัมพูชา ลาว สหรัฐอเมริกา อินโดนีเซีย เวียดนาม มีสัดส่วน 15.3% 14.9% 12.1% 10.7% และ 8.8% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าชาและผลิตภัณฑ์ชาทั้งหมดของไทย ตามลำดับ 

โดยการยกระดับสินค้าชาไทยในเวทีโลกอย่างยั่งยืน จะเป็นประโยชน์ทั้งต่อผู้ประกอบการ เกษตรกร และชุมชนที่เกี่ยวข้องกับการผลิตชาทั่วประเทศ การพัฒนาสินค้าชาของไทยต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการเพิ่มผลผลิตและคุณภาพของชา

รวมถึงเพิ่มมูลค่าผ่านการสร้างสรรค์และนวัตกรรม ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด เช่น ชาเพื่อสุขภาพ (Functional Teas) ที่สามารถเติมส่วนผสม เช่น โพรไบโอติก พฤกษเคมี (เช่น อะเซโรลา หรืออาซาอิ) เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ต้องการลดความเครียด ปรับปรุงระบบการย่อยอาหาร หรือเพิ่มพลังงานธรรมชาติ

ชาพร้อมดื่ม (Ready to Drink) ที่เน้นความสะดวก ชาสกัดเย็น เพิ่มรสชาติผลไม้หรือดอกไม้ที่กำลังเป็นที่นิยม ชารสชาติแปลกใหม่ ที่ทำให้ผู้บริโภคคาดไม่ถึงและชวนให้ลิ้มลอง เช่น การผสมผสานกับนมจากพืช (นมอัลมอนด์ นมถั่วเหลือง หรือนมโอ๊ต) ผสมผัก สมุนไพร เครื่องเทศ หรือสินค้าเกษตรอื่น ๆ เช่น มะพร้าว ลิ้นจี่ ลำไย หรือนำไปเป็นส่วนผสมในขนมหวาน ไอศกรีม และชายั่งยืน โดยมีกระบวนผลิตและใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม