ฝ่า 4 กับดักเศรษฐกิจไทย ปรับโครงสร้างครั้งใหญ่-ปลดล็อคลงทุน

“เอกนิติ” ชี้ 4 กับดักเศรษฐกิจไทย ดัน ‘BOI-Fast Pass’ ปลดล็อกลงทุนยุค AI เร่งอัปสกิลแรงงาน ตั้งเพดานลดหย่อนภาษี หวังสร้างวินัยการคลัง “ศุภจี” ระบุไทยเผชิญความท้าทางจากปัญหาเศรษฐกิจโลก และ 4 เทรนด์กระแสโลก ทำเศรษฐกิจไทยเติบโตน้อยลง แนะไทยปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ 3 ด้าน พร้อมเร่งขับเคลื่อนนโยบาย 3 ยุทธศาสตร์ 7 นโยบาย
“กรุงเทพธุรกิจ” จัดงาน “Thailand Economic Outlook 2026 : Out of the Trap” โดยมีภาครัฐ ภาคเอกชนและนักวิชาการร่วมประเมินทิศทางเศรษฐกิจปี 2569 รวมถึงแนวทางการก้าวข้ามกับดักประเทศ
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษว่า รัฐบาลตระหนักดีถึงข้อจำกัด 4 เดือน ทีมเศรษฐกิจจึงกำหนดแนวทางทำงานภายใต้แนวคิด “Quick Big Win” คือ ทำเร็วและทำทันที โดยเร่งกระตุ้นระยะสั้นเพื่อให้เศรษฐกิจฟื้นจากหล่ม พร้อมทั้งได้ผลยาวเพื่อแก้ปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจ และเน้นกระจายตัวด้วยเพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ
นายเอกนิติ กล่าวว่า ในอดีตไทยเคยเป็นเสือตัวที่ 5 ของเอเชีย แต่วันนี้กลายเป็นคนป่วย แต่เป็นคนป่วยมีทางเลือกหากรู้ว่าป่วยอะไรจะรู้วิธีรักษาและกลับมาแข็งแรงได้ โดยกับดักที่ไทยติดอยู่ประกอบด้วย 4 เรื่อง
1.กับดักด้านการลงทุนเป็นประเด็นแรก ที่รัฐบาลให้ความสำคัญ นายเอกนิติ กล่าวว่า ประเทศไทยมีภาพลักษณ์ที่เก่าและติดกับดักการเติบโตในอุตสาหกรรมเดิม แต่ปัจจุบันโลกกำลังเปลี่ยนไปสู่ยุค AI, Data Center, EV, ระบบอัตโนมัติ และโลกสีเขียว ดังนั้นจะให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เป็นหัวหอกหลักในการส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมยุคใหม่เหล่านี้
ทั้งนี้ เพื่อปลดล็อกการลงทุน รัฐบาลจะจัดทำโครงการ Fast Pass เพื่อแก้ปัญหากฎ กติกา ที่ทำให้ผู้ที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนแล้วแต่ยังไม่สามารถลงทุนได้จริง เนื่องจากติดปัญหาขอใบอนุญาตน้ำหรือไฟ การขอให้คนที่มีความสามารถมาทำงานในไทย
2.กับดักเรื่องคน และทักษะแรงงานไทยกำลังเผชิญปัญหาโครงสร้างประชากร วันนี้มีผู้อายุเกิน 60 ปี ราว 20% ของประชากรทั้งหมด ซึ่งเมื่อเกษียณแล้วรายได้จะหายไป รายจ่ายเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเรื่องเจ็บป่วยและจะเพิ่มภาระงบประมาณและหนี้สาธารณะในอนาคต นอกจากนี้กำลังแรงงานไทยยังมีทักษะไม่ตรงความต้องการของตลาด ซึ่งเป็นปัญหาหลักที่ทำให้นักลงทุนย้ายไปประเทศอื่น
ทั้งนี้ รัฐบาลจะเน้นการ Re-skill และ Up-skill ทักษะแรงงาน โดยจัดสรรเงินจากกองทุนเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน 10,000 ล้านบาท เพื่อใช้ฝึกอบรมระยะสั้น และการอบรมออนไลน์ที่ตรงความต้องการของตลาด และตามความต้องการของภาคธุรกิจ มีการตั้งเป้าหมาย 4 เดือนแรก จะอบรมแรงงาน 100,000 คน พร้อมเข้าสู่อุตสาหกรรมใหม่ ซึ่งจะเพิ่มรายได้ให้คนไทย
รวมทั้ง จะทำต่อยอดจากโครงการคนละครึ่งพลัส เปิดหลักสูตรอบรมผ่านแอปถุงเงิน เพื่อให้ร้านค้าในระบบมาเรียนรู้ทักษะสร้างรายได้ การบริหารจัดการต้นทุนการเงินและภาษี
3.กับดักด้านเทคโนโลยี เป็นอีกประเด็นสำคัญ เนื่องจากธุรกิจไทยหลายแห่งไม่ทันโลกยุคใหม่ โดยช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา เทคโนโลยีเปลี่ยนเร็วมากจากยุค Digital Transformation ก้าวไปสู่ AI ที่ทำงานแทนคนได้ และรัฐบาลจะช่วยเหลือ SME โดยให้เงินสนับสนุน (Grant) 50% สำหรับการทำวิจัยพัฒนา (R&D) กำหนดวงเงินสำหรับรายเล็กที่ 20 ล้านบาท และรายใหญ่ 50 ล้าน
รวมทั้งสนับสนุนการลงทุนเปลี่ยนเครื่องจักรเป็นระบบอัตโนมัติ โดยให้สถาบันการเงินของรัฐออกสินเชื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านเพื่อให้ SME ได้รับเงินอุดหนุนทันที
นอกจากนี้จะทำโครงการพี่ช่วยน้องให้ธุรกิจรายใหญ่สนับสนุน SME โดยไม่ได้หมายถึงการควบรวมกิจการ แต่เป็นมาตรการให้บริษัทใหญ่ที่จ้างงานจาก SMEนำมาหักลดหย่อนภาษีได้ 1.5 เท่า หรือ 2 เท่า เพื่อสนับสนุนการซื้อสินค้าไทย และการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ มาตรการนี้จะอยู่ในแพ็กเกจ SME ที่จะออกมาต่อเนื่องภายใน 120 วัน
4.กับดักหนี้และวินัยการคลัง โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือนที่อยู่ระดับสูงมาก ประชาชนรายย่อยต้องแบกรับภาระผ่อนต้น ผ่อนดอก และมีกำลังซื้อลดลง หากไม่แก้ไขกำลังซื้อที่หดหายจะเริ่มกระทบธุรกิจ SME และอาจลามไปถึงธุรกิจรายใหญ่ รวมถึงหนี้รัฐหรือหนี้สาธารณะที่ปัจจุบันอยู่ระดับ 64% ของ GDP
โอนหนี้ AMC ชัดเจนภายในต.ค.นี้
ขณะนี้กระทรวงการคลังหารือธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยจะดึงหนี้จากคนตัวเล็กตัวน้อยออกมาจากระบบ และนำไปไว้ในบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) เนื่องจากหากตั้ง AMC ใหม่ อาจไม่ทันใน 4 เดือน จึงอาจใช้สิ่งที่มีอยู่แล้ว คือ ดำเนินการผ่านบริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM และบริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิทจำกัด (SAM)
ทั้งนี้ แนวทางดังกล่าวจะแก้ปัญหาได้เร็ว มาตรการนี้จะช่วยให้คนไทยมีภาระหนี้ลดลง และจะสนับสนุนให้รวบหนี้ที่อยู่หลายธนาคารไว้ที่เดียว โดยจะเห็นผลการดำเนินการ AMC ภายในเดือน ต.ค.นี้
นายเอกนิติ กล่าวว่า กระทรวงการคลังจะยกระดับวินัยการคลังให้โปร่งใสและชัดเจน โดยจะทบทวนแผนการคลังระยะปานกลาง (MTFF) เดือน พ.ย.นี้ ให้ลงรายละเอียดการดำเนินนโยบายการคลังชัดเจนว่ารัฐบาลจะไม่ก่อหนี้เพิ่ม เพื่อแสดงให้สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Rating Agency) ลดความกังวลต่อการก่อหนี้สาธารณะไทย
เล็งกำหนดเพดานลดหย่อนภาษี
นายเอกนิติ กล่าวถึงการปรับปรุงระบบภาษีและค่าลดหย่อนว่า จะปรับปรุงเกณฑ์ค่าลดหย่อน โดยไม่ต้องแก้ พ.ร.บ.เนื่องจากปัจจุบันการลดหย่อนภาษีมีความหลากหลายมาก
ทั้งนี้ จะกำหนดเพดาน (Ceiling) ที่ชัดเจนการลดหย่อนใน 1 ปี ได้เท่าไร โดยข้อเสนอที่น่าสนใจคือ Individual Saving Account (ISA) ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ซึ่งจะให้ประชาชนมีเพดานและอิสระเลือกลงทุนหุ้น พันธบัตร หรือลงทุนต่างประเทศได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องออกผลิตภัณฑ์เฉพาะเจาะจงเหมือนอดีต รวมถึง Framework ลดหย่อนจะเสร็จในเดือน พ.ย.นี้
นอกจากนี้ การนำระบบดิจิทัลมาใช้ในระบบภาษี และการยกเว้นให้เฉพาะผู้ที่เข้าไม่ถึงระบบ จะช่วยให้ภาษีของรัฐบาลโตขึ้นเยอะ
นายเอกนิติ กล่าวว่า แม้รัฐบาลมีเวลาแค่ 4 เดือน และแก้ปัญหานี้ไม่ได้ทั้งหมดแต่ต้องเริ่มต้นทำ และการดำเนินการผ่านแต่ละแผนงานเชื่อว่าจะวางรากฐานการแก้ปัญหาระยะยาวได้
“พาณิชย์” เร่งเจรจาสหรัฐให้จบ
นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า บริบทเศรษฐกิจโลกทำให้ไทยต้องเผชิญ ใน 4 ด้าน คือ ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและผันผวนทั่วโลกจากปัจจัยหลายอย่าง รวมถึงภูมิรัฐศาสตร์โดยมาตรการทางภาษีของสหรัฐส่งผลต่อโครงสร้างการค้าโลก ซึ่งไทยถูกสหรัฐประกาศเก็บภาษีตอบโต้ที่ 19% ซึ่งไทยต้องพยายามเจรจราให้จบในปลายปี 2568 เพราะสหรัฐเป็นคู่ค่าสำคัญของไทย
สำหรับเศรษฐกิจไทยพบว่าการเติบโตลดลงต่อเนื่อง โดยลดจากเดิม 5% เหลือ 3% และปัจจุบันจะขยายตัวเพียง 1.8-2.3% ขณะที่เงินเฟ้อต่ำ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 จากราคาพลังงานและราคาอาหารสดที่ลดลงอาจนำไปสู่ภาวะเงินฝืดหากไม่เร่งกระตุ้นอุปสงค์ โดยรัฐบาลจึงมีโครงการกระตุ้นการใช้จ่าย เช่น โครงการคนละครึ่งพลัส
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์วางยุทธศาสตร์ Quick Win ใน 3 ด้าน 7 นโยบายหลักที่ทำได้ใน 4 เดือน ได้แก่
1.เสริมรายได้ฐานรากและสร้างความมั่นคงรายได้เกษตรกร โดยรักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตรและดูแลต้นทุนผ่าน “ธงเขียว”
2.สร้างตลาดใหม่และขยายการค้า โดยปัจจุบันไทยมีข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) 14 ฉบับ ครอบคลุม 18 ประเทศ และตั้งเป้าให้ FTA ไทย-สหภาพยุโรป และไทย-เกาหลีใต้ สำเร็จในปี 2568
3.ลดภาระค่าครองชีพและพยุงกำลังซื้อ เช่น ความร่วมมือกับไปรษณีย์ไทยเพื่อลดค่าขนส่งสินค้า และดูแลความเป็นอยู่ประชาชน 7 จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา
3 แนวทางไทยพ้นจากกับดักประเทศ
สำหรับโอกาสและความท้าทาย Out of the Trap โดยประเทศไทยมีจุดแข็งด้านที่ตั้งเป็นศูนย์กลางการผลิต รวมถึงภูมิปัญญาและครัวไทยสู่โลก และ Green Economy ซึ่งไทยต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อออกจากกับดักเศรษฐกิจ 3 ด้าน คือ
1.ปรับโครงสร้างการค้าสินค้าเกษตรสู่เกษตรแม่นยำ เปลี่ยนจากระบบผลิตตามอุปทานเป็นการผลิตตามความต้องการตลาด
2.มุ่งสู่ตลาดอาหารแห่งอนาคต พัฒนาแบรนด์และนวัตกรรมอาหารให้ไทยเป็นศูนย์กลาง Future Food ของภูมิภาค
3.พัฒนาระบบนิเวศทางการค้าสู่ดิจิทัล ยกระดับเศรษฐกิจไปสู่ Value-based Economy ผ่านเทคโนโลยีและระบบ Trade Intelligence
“ภาครัฐสร้างความเชื่อมั่น ภาคเอกชนสร้างโอกาส ประชาชนได้รับผลประโยชน์จริง ซึ่งไทยจะหลุดพ้นจากกับดัก เมื่อการค้าเดินได้ เศรษฐกิจก็เดินหน้าและไทยก็เติบโต” นางศุภจี กล่าว







