'นิพนธ์' แนะไทยรีเซตโครงสร้างเกษตร ห่วงเสียขีดแข่งขัน หลุดวงโคจร 'ครัวโลก'

'นิพนธ์' แนะไทยรีเซตโครงสร้างเกษตร ห่วงเสียขีดแข่งขัน หลุดวงโคจร 'ครัวโลก'

“ดร.นิพนธ์” ชี้ไทยต้องรีเซตโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ ดึงแรงงานออกจากภาคเกษตร สู่ห่วงโซ่อาหาร–บริการมูลค่าสูง เร่งลงทุนวิจัย–แก้กฎหมาย–กระจายอำนาจสู่ชนบท ปลดล็อกผลิตภาพ เพิ่มขีดแข่งขันก่อนหลุดวงโคจร ‘ครัวโลก’ จี้ “ปรับโครงสร้างใหญ่” ตั้งคณะทำงานเร่งด่วนกระจายโอกาสทางเศรษฐกิจสู่ภูมิภาค พร้อมปฏิรูประบบอุดหนุนเกษตร เปลี่ยนจาก “แจกเงิน” เป็น “ลงทุนเพื่อเติบโต”

KEY

POINTS

  • 'ดร.นิพนธ์' ชี้ไทยต้องรีเซตโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ ดึงแรงงานออกจากภาคเกษตร สู่ห่วงโซ่อาหาร - บริการมูลค่าสูง
  • เร่งลงทุนวิจัย - แก้กฎหมาย - กระจายอำนาจสู่ชนบท ปลดล็อกผลิตภาพ เพิ่มขีดแข่งขันก่อนหลุดวงโคจร ‘ครัวโลก’ จี้ 'ปรับโครงสร้างใหญ่'
  • แนะรัฐบาลตั้งคณะทำงานเร่งด่วนกระจายโอกาสทางเศรษฐกิจสู่ภูมิภาค
  • พร้อมปฏิรูประบบอุดหนุนเกษตร เปลี่ยนจาก 'แจกเงิน' เป็น 'ลงทุนเพื่อเติบโต'

ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวในงานสัมมนา Thailand Economic Outlook Out of the Trap จัดโดย กรุงเทพธุรกิจ วันนี้ (9 ต.ค.68) ว่าทางออกของภาคเกษตรกรรมไทยมี 3 แนวทางหลัก แต่ที่สำคัญที่สุด และเป็นเรื่องเร่งด่วนคือ การปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่เคยทำสำเร็จมาแล้วในอดีต

ดร.นิพนธ์ กล่าวว่า ในอดีตประเทศไทยมีความสำเร็จมาตั้งแต่สมัยอยุธยา โดยสามารถเป็นประเทศที่ผลิตสินค้าเกษตรเพื่อส่งออกได้สำเร็จทั้งนี้โครงสร้างเศรษฐกิจได้เปลี่ยนผ่านจากเกษตรยังชีพเป็นเกษตรพาณิชย์และเกษตรอุตสาหกรรม นำไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมส่งออก และการลดลงของความยากจน ความสำเร็จในอดีตมาจากการ "เก่ง" จากความฉลาดของเกษตรกรในการปลูกเผื่อจากที่ดินที่มีมากพอ และ “เฮง” เนื่องการมีทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์

อย่างไรก็ตาม ดร.นิพนธ์ เตือนว่า ปัจจุบันประเทศไทยอ่อนแอลง และสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน โดยเห็นได้ชัดจากการเสียส่วนแบ่งตลาดข้าวให้เวียดนาม และมีผลผลิตต่อไร่ที่ต่ำเตี้ยกว่าประเทศเพื่อนบ้านมากในทุกพืช

ปัญหาสำคัญที่ทำให้ภาคเกษตรอ่อนแอคือ การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจที่เคยประสบความสำเร็จมา เริ่มหยุดชะงักตั้งแต่กลางทศวรรษ 2000 การปรับโครงสร้างที่แท้จริงคือ การย้ายคนออกจากกิจกรรมที่มีผลิตภาพต่ำ โดยเฉพาะในภาคเกษตร ซึ่งมีแรงงานเกือบ 30% แต่สร้าง GDP เพียง 8% ไปสู่ภาคส่วนที่มีผลิตภาพสูงกว่า

'นิพนธ์' แนะไทยรีเซตโครงสร้างเกษตร ห่วงเสียขีดแข่งขัน หลุดวงโคจร 'ครัวโลก'

นอกจากนี้การเติบโตของภาคเกษตรไม่ได้มีเทคโนโลยีเป็นต้นตออีกต่อไป เนื่องจาก การลงทุนวิจัยในภาคเกษตรลดลงอย่างมาก ยกตัวอย่างกรณีข้าว ที่มี GDP กว่า 200,000 ล้านบาท แต่กรมการข้าวลงทุนวิจัยเพียง 180 ล้านบาท ปัญหาแบบนี้ทำให้ชาวนาภาคกลางต้องนำพันธุ์ข้าวเวียดนามเข้ามาปลูกแทนในปัจจุบัน

ประชานิยมซ้ำเติมภาคเกษตรอ่อนแอ 

ดร.นิพนธ์ ระบุด้วยว่า ปัญหาเหล่านี้ถูกซ้ำเติมด้วย นโยบายประชานิยม ซึ่งมีการแจกเงินจำนวนมหาศาล บางปีมากกว่างบประมาณกระทรวงเกษตรฯ ทั้งกระทรวง ทำให้เกษตรกร ไม่จำเป็นต้องปรับตัว ผลลัพธ์ที่ตามมาคือ ความเหลื่อมล้ำระหว่างรายได้ต่อหัวของเกษตรกรกับนอกภาคเกษตรที่สูงกว่าประเทศเพื่อนบ้านมาก ต่างจากมาเลเซียเกือบ 5 เท่าตัว

“ภาคเกษตรของไทยเจอปัญหาใหญ่ในการสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน หากประเทศไทยไม่ปรับตัวอย่างเร่งด่วน อาจทำให้สถานะการเป็น "ครัวโลก" ที่ส่งออกอาหารคุณภาพสูง กลายเป็นเพียงผู้ส่งออกสินค้าราคาถูก หรืออาจถึงขั้นต้องนำเข้าสินค้าเกษตรได้ในอนาคต” ดร.นิพนธ์ กล่าว

แนะกระจายอำนาจ และการสร้างงานในชนบท

ดร.นิพนธ์ กล่าวต่อว่างานวิจัยล่าสุดพบว่า ดัชนีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างภาคการเกษตรของไทยอยู่ในอันดับที่ 87 จาก 182 ประเทศ และดัชนีผลิตภาพก็อยู่ในอันดับ 87 เช่นเดียวกัน ดังนั้นหัวใจของการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มอัตราการเจริญเติบโต และลดความเหลื่อมล้ำคือ การย้ายแรงงานออก จากเกษตรต้นน้ำไปสู่อุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องในกลางน้ำ และปลายน้ำ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร, การค้าปลีกที่มีการแข่งขัน, การขนส่ง, ภัตตาคาร, โรงแรม และการท่องเที่ยว ซึ่งจะสร้างงานที่มีรายได้ และใช้ทักษะดีขึ้น

ดังนั้นรัฐบาลต้องมีนโยบายปรับโครงสร้างเศรษฐกิจครั้งใหญ่โดยการ กระจายอำนาจสู่ชนบท เน้นการสร้างงานใหม่ๆ ในต่างจังหวัดผ่านห่วงโซ่คุณค่าอาหาร-เกษตร (agri-food value chain) ควบคู่กับการฝึกอบรมแรงงาน ทั้งนี้รัฐบาลควรเสนอให้รัฐบาลตั้งคณะทำงานเร่งด่วนเพื่อวางรากฐานการกระจายอำนาจทางเศรษฐกิจ และการแก้กฎหมายสำคัญ แม้รัฐบาลจะมีอายุเพียง 4-6 เดือน เพื่อให้คนไทยมีความหวัง

ทั้งนี้ดร.นิพนธ์ ได้เสนอมาตรการที่รัฐบาลต้องดำเนินการเพื่อเป็นรากฐานในการปรับตัวของภาคเกษตรไทย  ดังนี้

  1. การลงทุนวิจัย และเทคโนโลยี : รัฐบาลต้องตั้งเป้าหมายให้งานวิจัยพื้นฐานของรัฐในภาคเกษตรต้องถึง 2% ของ GDP ภาคเกษตร เพื่อเพิ่มผลิตภาพให้ได้มากกว่า 2-3% ต่อปี
  2. ปฏิรูปการจัดสรรทุนวิจัย : ต้องมีการตั้งโจทย์วิจัยที่มาจากส่วนบน และเน้นโจทย์สำคัญของประเทศ (เช่น การแก้ปัญหาโรคใบด่างมันสำปะหลัง)
  3. สร้างแรงจูงใจเอกชน : ต้องสร้างแรงจูงใจให้ภาคเอกชน (ซึ่งลงทุนวิจัยมากกว่าภาครัฐ แต่เน้นด้านการตลาด) หันมาลงทุนในงานวิจัยที่ก่อให้เกิดผลประโยชน์ต่อสังคม (Spillover) ผ่านมาตรการลดหย่อนภาษี
  4. จัดการทรัพยากรน้ำ: ต้องขยายผลการจัดการน้ำชุมชนที่ประสบความสำเร็จแล้วโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
  5. เปลี่ยนระบบส่งเสริมเกษตร : ต้องเปลี่ยนจากการที่รัฐเป็นผู้คิด ผู้ทำ และผู้ประเมินผลเอง ไปเป็นระบบใหม่ที่กลุ่มเกษตรกร และเอกชนร่วมกันเสนอโครงการ และรัฐเป็นผู้ประเมินผล และให้การสนับสนุนทางวิชาการ
  6. เปลี่ยนระบบการอุดหนุน: ต้องเปลี่ยนจากการแจกเงินแบบให้เปล่าเป็นการอุดหนุนที่มีวัตถุประสงค์และมีการประเมินผล ยกเว้นการประกันราคาเมื่อสินค้าตกต่ำซึ่งยังมีความจำเป็น
  7. การปรับโครงสร้างที่สำคัญต้องมีการแก้ไขกฎหมายสำคัญ 2 ฉบับ เพื่อสนับสนุนการปรับโครงสร้างภาคเกษตรของประเทศไทย ได้แก่  กฎหมายการเช่าที่ดินเกษตร : ต้องแก้ไขให้เกิดความสมดุลระหว่างผลประโยชน์ของเจ้าของที่ดิน และผู้เช่า เนื่องจากปัจจุบันกฎหมายเอื้อประโยชน์ให้เจ้าของที่ดินมากเกินไป ทำให้ไม่เกิดการเช่า ซึ่งการเช่าที่ดินถือเป็นเส้นทางสู่ความร่ำรวย และกฎหมายบังคับคดี : ต้องแก้ไขปัญหาการบังคับคดีที่ดินซึ่งใช้เวลานาน และควรลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ซื้อที่ดินที่ปัจจุบันสูงถึง 7-8% เมื่อเทียบกับดอกเบี้ยกู้ซื้อรถยนต์ที่ 1-2% เท่านั้น

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์