‘เอกนิติ’ ชี้ 4 กับดักเศรษฐกิจ เร่งดึงลงทุนใหม่ยุค AI อัปสกิลแรงงาน

‘เอกนิติ’ ชี้ 4 กับดักเศรษฐกิจ เร่งดึงลงทุนใหม่ยุค AI อัปสกิลแรงงาน

เอกนิติ ชี้ 4 กับดักเศรษฐกิจไทย ดัน ‘BOI-Fast Pass’ ปลดล็อกลงทุนยุค AI เร่งอัปสกิลแรงงาน ตั้งเพดานลดหย่อนภาษี หวังสร้างวินัยการคลัง

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษในงาน “Thailand Economic Outlook 2026 : Out of the Trap” จัดโดย กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 9 ต.ค.2568 ว่า รัฐบาลตระหนักดีถึงข้อจำกัดด้านเวลาเพียง 4 เดือน ทีมเศรษฐกิจจึงได้กำหนดแนวทางการทำงานภายใต้แนวคิด “Quick Big Win” คือ ทำเร็ว และทำทันที

ด้วยการเร่งกระตุ้นระยะสั้นเพื่อให้เศรษฐกิจไทยฟื้นจากหล่ม พร้อมทั้งได้ผลยาวเพื่อแก้ไขปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจ และเน้นการกระจายตัวด้วยเพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ

ชี้ 4 กับดักเศรษฐกิจไทย

นายเอกนิติ กล่าวว่า ในอดีตไทยเคยเป็นเสือตัวที่ 5 ของเอเชีย แต่วันนี้เรากลับกลายเป็นคนป่วย แต่คนป่วยมีทางเลือก หากรู้ว่าตนเองป่วยเป็นอะไร รู้สาเหตุของปัญหาก็จะรู้วิธีรักษา และกลับมาแข็งแรงได้”

ทั้งนี้ กับดักที่ประเทศไทยยังติดอยู่ ประกอบไปด้วย 4 เรื่อง

กับดักด้านการลงทุนเป็น ประเด็นแรก ที่รัฐบาลให้ความสำคัญ นายเอกนิติ กล่าวว่า ประเทศไทยมีภาพลักษณ์ที่เก่า และติดกับดักการเติบโตอยู่ในอุตสาหกรรมเดิมๆ แต่ปัจจุบันโลกกำลังเปลี่ยนไปสู่ยุคของ AI, Data Center, EV, ระบบอัตโนมัติ และโลกสีเขียวมากขึ้น ดังนั้น รัฐบาลจะใช้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เป็นหัวหอกหลักในการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมยุคใหม่เหล่านี้

ทั้งนี้ เพื่อปลดล็อกการลงทุน รัฐบาลจะจัดทำโครงการ Fast Pass เพื่อแก้ปัญหากฎ กติกา ที่ทำให้ผู้ที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนแล้วแต่ยังไม่สามารถลงทุนได้จริง เนื่องจากติดปัญหาการขอใบอนุญาตเรื่องน้ำ หรือไฟ การขอให้คนที่มีความสามารถเข้ามาทำงานในเมืองไทย

กับดักที่ 2 เรื่องคน และทักษะแรงงาน ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาโครงสร้างประชากร วันนี้มีคนที่มีอายุเกิน 60 ปี อยู่ราว 20% ของประชากรทั้งหมด ซึ่งคนเหล่านี้เมื่อเกษียณแล้วรายได้จะหายไป รายจ่ายเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องเจ็บป่วย และจะกลายเป็นการเพิ่มภาระงบประมาณและหนี้สาธารณะในอนาคต นอกจากนี้ กำลังแรงงานของไทยยังมีทักษะที่ไม่ตรงกับความต้องการของตลาด ซึ่งเป็นปัญหาหลักที่ทำให้นักลงทุนย้ายไปประเทศอื่น

ทั้งนี้ สิ่งที่รัฐบาลจะทำคือ การเน้นเรื่องการ Re-skill และ Up-skill ทักษะแรงงาน โดยจะมีการจัดสรรเงินจากกองทุนเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน 10,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในการฝึกอบรมระยะสั้น และการอบรมออนไลน์ที่ตรงกับความต้องการของตลาด และเป็นไปตามความต้องการของภาคธุรกิจ มีการตั้งเป้าหมายใน 4 เดือนแรก จะอบรมแรงงาน 100,000 คน พร้อมเข้าสู่อุตสาหกรรมใหม่ ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับคนไทย

รวมทั้ง จะทำให้มีการต่อยอดจากโครงการคนละครึ่งพลัส เปิดหลักสูตรอบรมผ่านแอปถุงเงิน เพื่อให้ร้านค้าที่อยู่ในระบบมาเรียนรู้ทักษะที่สร้างรายได้ การบริหารจัดการต้นทุนการเงิน และภาษี

กับดักที่ 3 ด้านเทคโนโลยี เป็นอีกประเด็นสำคัญ เนื่องจากธุรกิจไทยหลายแห่งยังไม่ทันโลกยุคใหม่ ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา เทคโนโลยีเปลี่ยนไปเร็วมาก จากยุค Digital Transformation ได้ก้าวข้ามไปสู่ AI ซึ่งสามารถทำงานแทนคนได้

โดยรัฐบาลจะให้ความช่วยเหลือธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) โดยให้เงินสนับสนุน (Grant) 50% สำหรับการทำวิจัยพัฒนา (R&D) กำหนดวงเงินสำหรับรายเล็กอยู่ที่ 20 ล้านบาท และรายใหญ่อยู่ที่ 50 ล้าน รวมทั้งสนับสนุนการลงทุนเปลี่ยนเครื่องจักรเป็นระบบอัตโนมัติ โดยจะให้สถาบันการเงินของรัฐเข้ามาช่วยออกสินเชื่อเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่าน (Transformation Loan) เพื่อให้ SME ได้รับเงินอุดหนุนทันทีโดยไม่ต้องรอ

นอกจากนี้ จะมีการทำโครงการพี่ช่วยน้อง ให้ธุรกิจรายใหญ่มาช่วยสนับสนุน SME โดยไม่ได้หมายถึง การควบรวมกิจการ แต่เป็นมาตรการที่ให้บริษัทขนาดใหญ่ที่มีการจ้างงานจาก SME สามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีได้ 1.5 เท่า หรือ 2 เท่า เพื่อสนับสนุนการซื้อสินค้าไทย และการจัดซื้อ จัดจ้างภาครัฐ มาตรการนี้จะอยู่ในแพ็กเกจ SME ที่จะออกมาอย่างต่อเนื่องภายใน 120 วัน

กับดักที่ 4 เรื่องหนี้ และวินัยการคลัง โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือน ซึ่งอยู่ในระดับสูงมาก ประชาชนรายย่อยต้องแบกรับภาระผ่อนต้น ผ่อนดอก และมีกำลังซื้อลดลง หากไม่แก้ไขกำลังซื้อที่หดหายจะเริ่มกระทบธุรกิจขนาดเล็ก SME และอาจลามไปถึงธุรกิจรายใหญ่ได้ในที่สุด รวมถึงหนี้ของรัฐ หรือหนี้สาธารณะซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 64% GDP  

โอนหนี้ AMC ชัดเจนภายในต.ค.นี้ 

โดยขณะนี้กระทรวงการคลัง อยู่ระหว่างการหารือร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยจะทำให้มีการดึงหนี้จากคนตัวเล็กตัวน้อยออกมาจากระบบ และนำไปไว้ในบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) เนื่องจากหากตั้ง AMC ใหม่ อาจไม่ทันภายใน 4 เดือน จึงอาจใช้สิ่งที่มีอยู่แล้วคือ ดำเนินการผ่านบริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM และบริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM) เพื่อช่วยแก้ปัญหาอย่างรวดเร็ว มาตรการนี้จะช่วยให้คนไทยมีภาระหนี้ลดลง และจะสนับสนุนให้มีการรวบหนี้ที่อยู่หลายธนาคารมาไว้ที่เดียว โดยคาดว่าจะเห็นผลการดำเนินการเรื่อง AMC ภายในเดือนต.ค.นี้

นายเอกนิติ กล่าวต่อว่า กระทรวงการคลังจะมีการยกระดับวินัยการคลังให้มีความโปร่งใสและชัดเจน โดยจะมีการทบทวนแผนการคลังระยะปานกลาง (MTFF) ในเดือนพ.ย.นี้ ให้มีการลงรายละเอียดการดำเนินนโยบายการคลังอย่างชัดเจนว่ารัฐบาลจะไม่ก่อหนี้เพิ่ม เพื่อแสดงให้สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Rating Agency) ลดความกังวลต่อการก่อหนี้สาธารณะของไทย

‘เอกนิติ’ ชี้ 4 กับดักเศรษฐกิจ เร่งดึงลงทุนใหม่ยุค AI อัปสกิลแรงงาน

เล็งกำหนดเพดานลดหย่อนภาษี

นอกจากนี้ ยังมีแผนการเพิ่มการจัดเก็บรายได้ นายเอกนิติ กล่าวถึงการปรับปรุงระบบภาษี และค่าลดหย่อนว่า จะมีการปรับปรุงเกณฑ์ค่าลดหย่อนต่างๆ โดยไม่ต้องแก้พระราชบัญญัติ เนื่องจากปัจจุบันการลดหย่อนภาษีมีความสะเปะสะปะมาก แนวทางคือ การกำหนดเพดาน (Ceiling) ที่ชัดเจนว่าในหนึ่งปีจะลดหย่อนได้เท่าไร ข้อเสนอหนึ่งที่น่าสนใจคือ Individual Saving Account (ISA) ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งจะให้ประชาชนมีเพดาน และอิสระในการเลือกที่จะไปลงทุนในหุ้น พันธบัตร หรือการลงทุนต่างประเทศได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องออกเป็นผลิตภัณฑ์เฉพาะเจาะจงเหมือนในอดีต การกำหนด Framework เรื่องลดหย่อนนี้จะเสร็จทันภายในเดือนพฤศจิกายน นี้ นอกจากนี้ การนำระบบดิจิทัลมาใช้ในระบบภาษี และการยกเว้นให้เฉพาะผู้ที่เข้าไม่ถึงระบบ จะช่วยให้ภาษีของรัฐบาลโตขึ้นเยอะ

นายเอกนิติ กล่าวว่า แม้รัฐบาลจะมีเวลาแค่ 4 เดือน และไม่สามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ทั้งหมด แต่ก็ต้องเริ่มต้นทำ และการดำเนินการผ่านแผนงานต่างๆ เชื่อว่าจะเป็นการวางรากฐานในการแก้ปัญหาระยะยาวเหล่านี้ได้

‘เอกนิติ’ ชี้ 4 กับดักเศรษฐกิจ เร่งดึงลงทุนใหม่ยุค AI อัปสกิลแรงงาน

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์