'อรรถพล' ดันลงทุน 7 แสนล้าน สร้างงาน 1.6 หมื่นตำแหน่ง สู่เป้า Net Zero ปี 2050

'อรรถพล' ดันลงทุน 7 แสนล้าน สร้างงาน 1.6 หมื่นตำแหน่ง สู่เป้า Net Zero ปี 2050

“อรรถพล" เดินหน้านโยบายพลังงาน Quick Big Win ลดภาระค่าครองชีพ–ตรึงดีเซล ขับเคลื่อนโครงการพลังงานสะอาด "โซลาร์ฟาร์ม-โซลาร์ลอยน้ำ-Direct PPA" หนุนเศรษฐกิจ และการลงทุนรวมกว่า 7 แสนล้านบาท ปูทางสู่สังคมคาร์บอนต่ำ และเป้าหมาย Net Zero ปี 2050 

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวปาฐกถาพิเศษ "The Future Energy" ทิศทางพลังงานไทย ในพิธีมอบรางวัลสุดยอดซีอีโอ ประจำปี 2568 จัดโดย สมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ว่า นโยบายพลังงานที่ต้องเร่งผลักดันให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล ว่า ได้ผลักดันโครงการ “Quick Big Win” ด้านพลังงานเพื่อลดรายจ่ายประชาชน

พร้อมสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน ส่งเสริมสังคมคาร์บอนต่ำ และส่งเสริมการลงทุนเอกชน มั่นใจจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ เกิดมูลค่าการลงทุนสูงถึง 700,000 ล้านบาท เกิดการจ้างงานกว่า 16,000 ตำแหน่ง และช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้กว่า 10 ล้านตันต่อปี

นายอรรถพล กล่าวว่า กระทรวงพลังงาน จะตรึงราคาพลังงานทุกชนิด และหากราคาตลาดโลกลดลงก็จะลดราคาในประเทศลงด้วย ทั้งน้ำมัน แอลพีจี และค่าไฟ โดยเฉพาะราคาน้ำมันดีเซลจะตรึงราคาดีเซลไม่ให้เกิน 32 บาทต่อลิตร ตลอด 4 เดือนของรัฐบาล แต่หากราคาตลาดโลกลดลง ดีเซลก็จะลดลงตามไปด้วย รวมทั้งเบนซินแต่ละชนิด จะพยายามตรึงราคา หากตลาดโลกลดลงก็จะลดราคาเบนซินลงไปด้วย

“นอกจากน้ำมัน ในส่วนของแอลพีจี 423 บาทต่อ 15 กก. และค่าไฟ 3.94 บาทต่อหน่วย ก็จะตรึงราคาเช่นกัน โดยเฉพาะค่าไฟปัจจุบันแอลเอ็นจีราคาตลาดโลกไม่สูง ถือเป็นสัญญาณที่ดี และจะใช้เครื่องมือของแต่ละหน่วยงานเข้าดูแล” นายอรรถพล กล่าว

นายอรรถพล กล่าวว่า จะเร่งโครงการโซลาร์สูบน้ำเพื่อการเกษตร กว่า 1,200 ระบบ ครอบคลุมพื้นที่กว่า 7 แสนไร่ทั่วประเทศ คาดว่าจะเกิดเม็ดเงินผ่านการลงทุนกว่า 12,500 ล้านบาท ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนได้ 87.5 เมกะวัตต์ ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 0.6 ล้านตันต่อปี รวมทั้งโครงการโซลาร์ฟาร์มชุมชน เป้าหมายกำลังการผลิต 1,500 เมกะวัตต์ คาดว่าจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการลงทุนได้กว่า 30,000 ล้านบาท เกิดการจ้างงานกว่า 1,600 ตำแหน่ง และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 0.8 ล้านตันต่อปี

โดยจะประกาศรับซื้อไฟฟ้าได้ภายในเดือนพฤศจิกายน ที่จะถึงนี้ ส่วนเป้าหมาย การลดหย่อนภาษีสำหรับผู้ติดตั้งโซลาร์เซลล์ คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วม 90,000 ครัวเรือน กระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการลงทุน ได้กว่า 20,250 ล้านบาท ลดการใช้ไฟฟ้าได้ 585 ล้านหน่วยต่อปี และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 2.8 แสนตันต่อปี 

นายอรรถพล กล่าวว่า นอกจากนี้ยังมีการเร่งอนุมัติการผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์ลอยน้ำใน 3 เขื่อนหลักของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ทั้งเขื่อนภูมิพล เขื่อนวชิราลงกรณ และเขื่อนศรีนครินทร์ ซึ่งมีต้นทุนต่ำ กำลังการผลิตรวม 1,638 เมกะวัตต์ เกิดการลงทุนกว่า 53,000 ล้านบาท และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้กว่า 0.8 ล้านตันต่อปี

นายอรรถพล กล่าวว่า ด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบพลังงานรองรับภาคอุตสาหกรรม ได้เร่งดำเนินการ โครงการสัญญาซื้อขายไฟฟ้าสะอาดตรง (Direct PPA)  2,000 เมกะวัตต์ คาดว่าจะเสนอ กบง. ได้ภายในเดือนพฤศจิกายน 2568

เกิดเม็ดเงินลงทุนกระตุ้นเศรษฐกิจกว่า 65,000 ล้านบาท ช่วยเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ รองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาระบบไฟฟ้ารองรับอุตสาหกรรมเขตภาคตะวันออก (EEC) คาดว่าจะมีความต้องการใช้ไฟฟ้ากว่า 800 เมกะวัตต์ รองรับธุรกิจ Data Center 16 ราย รวมทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในภาคอุตสาหกรรมผ่านการปรับเปลี่ยนเครื่องจักร วัสดุอุปกรณ์เพื่อการอนุรักษ์ผ่านกลไกกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน

การสร้างความยั่งยืนระยะยาวรองรับ Net Zero 2050 ผ่านโครงการต่างๆ ข้างต้น รวมทั้งการเร่งจัดทำแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า หรือ แผน PDP ที่จะมีการทบทวนรายละเอียดให้การผลิตไฟฟ้าตอบโจทย์กับเป้าหมายNet Zero 2050 ผ่านการเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาดในการผลิตไฟฟ้าให้มากขึ้น 

นายอรรถพล กล่าวว่า รวมทั้งจะเริ่มโครงการพัฒนาการดักจับ และกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CCS) คาดว่าจะสามารถเริ่มกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ได้ภายในปี 2577 และระหว่างปี 2577 ถึงปี 2607 (30 ปี) จะสามารถกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ได้ 6.4 ล้านตันต่อปี

นายอรรถพล กล่าวว่า นอกจากนี้เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ได้เสนอ 2 เรื่องสำคัญต่อคณะรัฐมนตรี(ครม.) ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ที่จะต้องมีการลงนามระหว่างรัฐมนตรีพลังงานอาเซียน 10 ประเทศในการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ 43 หรือ AMEM ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 14 - 17 ตุลาคม 2568 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ สหพันธรัฐมาเลเซีย โดย เรื่องแรก เป็นร่างบันทึกความเข้าใจเพิ่มเติมว่าด้วยโครงข่ายสายส่งไฟฟ้าอาเซียน (Enhanced Memorandum of Understanding on ASEAN Power Grid) จะมีผลบังคับใช้หลังจากประเทศสมาชิกอาเซียนส่งมอบสัตยาบันเรียบร้อยแล้ว โดยสาระสำคัญ ได้แก่

1.การส่งเสริมการดำเนินกิจกรรมเพื่อขยายความเชื่อมโยงด้านไฟฟ้าภายในภูมิภาค ทั้งในพื้นที่บนบก และในทะเล 

2.อาเซียนจะร่วมกันศึกษา ประเมิน และทบทวนนโยบาย กฎหมาย และแผนงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพัฒนาโครงการเชื่อมโยงโครงข่ายสายส่งไฟฟ้าอาเซียน และเรื่องสอง เป็น ร่างกรอบความตกลงว่าด้วยความมั่นคงทางปิโตรเลียมของอาเซียน (ASEAN Framework Agreement on Petroleum Security) จะร่วมกันจัดตั้งกลไกสำหรับช่วยเหลือประเทศสมาชิกที่กำลังประสบปัญหาการขาดแคลนปิโตรเลียมในสภาวะวิกฤติด้านพลังงานหรือสถานการณ์ฉุกเฉิน 

นายอรรถพล กล่าวว่าถึงความคืบหน้าการแต่งตั้งผู้บริหาร และกรรมการชุดต่างๆ ของกระทรวงพลังงาน ว่า การแต่งตั้งทั้งหมดจะเสร็จภายในเดือนตุลาคม นี้ โดยมีตำแหน่งผู้ว่าการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) ที่ผ่านการอนุมัติจากบอร์ด กฟผ.แล้ว จะเสนอ ครม.เร็วๆ นี้ รวมทั้งกรรมการจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ(PDP) จะเสนอคณะกรรมการพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในเร็วๆ นี้เช่นกัน นอกจากนี้ จะเร่งตั้งผู้อำนวยการกองทุนน้ำมัน ตลอดจนกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.) ที่ว่างอยู่ 4 ตำแหน่ง โดยเร็วเช่นกัน

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์