จับตา ‘บอร์ดบีโอไอ’ นัดแรก ‘รัฐบาลอนุทิน’ คลอดชุดมาตรการเร่งลงทุนโครงการใหญ่ 3 แสนล้าน

จับตาบอร์ดบีโอไอนัดแรกสัปดาห์หน้า ดันนโยบาย Big Win การลงทุน เตรียมเคาะ 3 มาตรการสำคัญผลักดันการลงทุน โฟกัสโครงการใหญ่ 70 โครงการ มูลค่าการลงทุนรวมกว่า 3 แสนล้านบาท ใน 4 กลุ่ม อิเล็กทรอนิกส์ Data Center โรงไฟฟ้า และกิจการนิคมอุตสาหกรรม รวมทั้งโปรเจกต์สำคัญที่เป็นอุตสาหกรรมในกลุ่ม New S-Curve เตรียมชงกลไก Fast Pass แก้ปัญหาการลงทุนเอกชนเข้า ครม.เศรษฐกิจ ดึงเงินกองทุนขีดแข่งขันสร้างแรงงานเป้าหมาย 5 สาขาหลัก 1 แสนคน เตรียมโรดโชว์นัดแรกญี่ปุ่นสร้างความมั่นใจขยายการลงทุนไทย
KEY
POINTS
- จับตาบอร์ดบีโอไอนัดแรกรัฐบาลอนุทินสัปดาห์หน้า ดันนโยบาย Big Win การลงทุน
- เตรียมเคาะ 3 มาตรการสำคัญผลักดันการลงทุน โฟกัสโครงการใหญ่ 70 โครงการ มูลค่าการลงทุนรวมกว่า 3 แสนล้านบาท ใน 4 กลุ่ม อิเล็กทรอนิกส์ Data Center โรงไฟฟ้า และกิจการนิคมอุตสาหกรรม รวมทั้งโปรเจกต์สำคัญที่เป็นอุตสาหกรรมในกลุ่ม New S-Curve
- เตรียมชงกลไก Fast Pass แก้ปัญหาการลงทุนเอกชนเข้า ครม.เศรษฐกิจ
- ดึงเงินกองทุนขีดแข่งขันสร้างแรงงานเป้าหมาย 5 สาขาหลัก 1 แสนคน
- "เอกนิติ" เตรียมโรดโชว์นัดแรกญี่ปุ่นสร้างความมั่นใจขยายการลงทุนไทย
การเร่งรัด และดึงดูดการลงทุนถือว่าเป็นหนึ่งในนโยบายที่รัฐบาลปัจจุบันให้ความสำคัญ โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาในยุทธศาสตร์ “Quick Big Win”ในเสาหลักที่ 5 เน้นเรื่อง “การลงทุนเพื่ออนาคต” ที่ถือเป็นวาระสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่าในสัปดาห์หน้าจะมีการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ครั้งแรกของรัฐบาลใหม่ โดยรัฐบาลได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการ (บอร์ด) ชุดใหม่เรียบร้อยแล้ว มีนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เป็นประธาน
ทั้งนี้บีโอไอได้มีการเตรียมมาตรการที่จะเสนอขอความเห็นชอบจากบอร์ดบีโอไอเพื่อเร่งรัด และส่งเสริมการลงทุน 3 มาตรการหลักที่จะเดินหน้าภายใน 4 เดือน ได้แก่
ดันลงทุนขนาดใหญ่ 3 แสนล้าน
มาตรการที่ 1 การเร่งรัดการลงทุน โดยมาตรการนี้มุ่งเป้าหมายไปที่การผลักดันโครงการที่ได้รับการอนุมัติในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา (ปี 2566-2567) แต่ยังมีสถานะว่ายังไม่ได้เริ่มการลงทุนจริง โดยจะโฟกัสไปที่ 2 กลุ่มหลักที่ต้องมีมาตรการเร่งรัด ได้แก่
กลุ่มแรกเป็นโครงการขนาดใหญ่ โดยเป็นโครงการที่มีขนาดการลงทุน เกิน 1,000 ล้านบาท โดยมีโครงการที่อยู่ในเป้าหมายที่จะเร่งรัดการลงทุนจำนวนประมาณ 70 โครงการ คิดเป็นเงินลงทุนรวมประมาณ 3 แสนล้านบาท โดยในกลุ่มนี้ อุตสาหกรรมส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ Data Center โรงไฟฟ้า และนิคมอุตสาหกรรม
กลุ่มที่สอง เป็นโครงการขนาดเล็กที่มีมูลค่าการลงทุนต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท แต่จัดว่าอยู่ในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่สำคัญ โดยเฉพาะกลุ่มที่อยู่ใน New S-Curve ที่จะต้องกระตุ้นให้เกิดการลงทุนเช่นกันเพราะมีความสำคัญต่อทิศทางการลงทุนของประเทศในอนาคต
ทั้งนี้ลักษณะการเร่งรัดการลงทุนประกอบไปด้วย 2 ส่วน ได้แก่ มาตรการทางภาษี ที่บีโอไอมีมาตรการสนับสนุนโครงการที่เร่งรัดการลงทุนโดยจะให้สิทธิประโยชน์เพิ่มเติม ขณะเดียวกันก็ได้มีการใช้กลไกการแก้ไขปัญหาอุปสรรคในการลงทุน โดยเน้นการแก้ปัญหาสำคัญที่สามารถแก้ไขได้ในระยะสั้นซึ่งได้มีการรับฟังปัญหาจากเอกชน โดยปัญหาเบื้องต้นที่ต้องเร่งรัดแก้ไขคือ เรื่องของไฟฟ้า และการให้วีซ่า และใบอนุญาตทำงานสำหรับบุคลากรต่างชาติที่ยังสามารถแก้ไขได้ก่อนในระยะเวลาอันสั้น นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเรื่องการขยายพื้นที่อุตสาหกรรม ที่ติดกฎหมายหลายฉบับ และต้องเร่งรัดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาช่วยแก้ไข หากแก้ไขได้จะส่งผลดีต่อโครงการที่ขอส่งเสริมการลงทุนจำนวนมาก
ดัน Fast Pass แก้อุปสรรคลงทุน
ในการแก้ไขปัญหาอุปสรรคในการลงทุนรัฐบาลมีแผนจะนำเอากลไกที่เรียกว่า “Fast Pass” ซึ่งเป็นกลไกใหม่ตามนโยบายรัฐบาล โดยจะมอบสถานะโครงการที่เป็น Fast Pass ให้กับโครงการสำคัญที่เป็นเชิงยุทธศาสตร์ และระดับประเทศ
โครงการที่ได้รับสถานะนี้จะได้รับการอำนวยความสะดวกในการลงทุนให้เป็นแบบ “Fast Track” ทั้งในการติดต่อขอใบอนุญาตจากหน่วยงานต่างๆ โดยมาตรการชุดนี้จะถูกนำเสนอต่อบอร์ดบีโอไอ และจะเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) เพื่อขอความร่วมมือจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเพราะเป็นการทำงานแบบข้ามหน่วยงาน และข้ามกระทรวงเพื่อผลักดันให้การลงทุนเกิดขึ้นโดยเร็ว
สร้างแรงงานกลุ่มเป้าหมาย 1 แสนคน
มาตรการที่ 2 เป็นมาตรการสำหรับการเร่งรัดสร้างบุคลากรทักษะสูง โดยมาตรการนี้จะเป็นการรองรับการลงทุนในสาขาอุตสาหกรรมเป้าหมาย เพื่อรองรับการสร้างฐานอุตสาหกรรมใหม่ที่ประเทศกำลังดึงดูดการลงทุน ที่จะเตรียมบุคลากรให้มีความพร้อมตามนโยบายของรองนายกฯ เอกนิติ ที่ตั้งเป้าหมายไว้ ที่ 100,000 คน รวมทุกสาขา ซึ่งถือเป็นมาตรการสร้างบุคลากรครั้งใหญ่
ทั้งนี้ แรงงานที่จะมีการเตรียมความพร้อมจะเน้นในกลุ่มสาขาอาชีพที่เป็นสาขาการผลิต และอุตสาหกรรมที่น่าสนใจ เช่นในสาขา BCG Smart Farming, Food Science, Biotechnology,ยานยนต์ รถ EV Semiconductor และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ดิจิทัล และเทคโนโลยี AI และระบบอัตโนมัติ และหุ่นยนต์ (Automation) โดยกลไกการดำเนินงานในการสร้างบุคลากรทักษะสูงในครั้งนี้จะเป็นการดำเนินการ ร่วมกัน 3 ฝ่าย คือ บีโอไอ กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และภาคเอกชน
โดยจะต่อยอดจากหลักสูตรเดิมที่มีอยู่ และปรับปรุงตามความต้องการทิศทางการฝึกอบรมของภาคเอกชน โดยรูปแบบการฝึกอบรมจะ มี 3 รูปแบบ ได้แก่ ลักษณะ Bootcamp หลักสูตรระยะสั้น ที่อาจรวมการฝึกปฏิบัติในโรงงาน และหลักสูตรออนไลน์ที่ทำควบคู่กันไป
ทั้งนี้แหล่งเงินทุนจะใช้เงินจากกองทุนเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน มาอุดหนุนการฝึกอบรม โดยเงินอุดหนุนจะมอบให้แก่ผู้ฝึกอบรม (เทนเนอร์) และมีความตั้งใจที่จะให้เงินอุดหนุนเกือบทั้งหมดของค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมด้วย
ดันมาตรการหนุนผู้ประกอบการปรับตัว
และ มาตรการที่ 3 มาตรการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้ปรับตัว โดยมาตรการนี้มุ่งเน้นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และการปรับเปลี่ยนไปสู่อุตสาหกรรมใหม่ โดยใช้กองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในการให้เงินสนับสนุน (Grant) เพื่อสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรให้ทันสมัย ใช้ระบบ Automation หรือใช้เทคโนโลยีดิจิทัล โดยกลไกที่จะเข้ามาสนับสนุนจะเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างบีโอไอ กระทรวงการคลัง และสมาคมธนาคารไทย โดยเงินทุนจะมาจาก 2 ส่วนได้แก่
1.เงินสนับสนุน (Grant) จากกองทุนเพิ่มขีดฯ ซึ่งเป็นลักษณะดำเนินการก่อนแล้วมารับเงินอุดหนุนทีหลัง (reimbursement) และ 2. Soft Loan จากธนาคารทั้งรัฐ และเอกชน โดยหากบริษัทได้รับการอนุมัติ จะช่วยให้ธนาคารปล่อยกู้ Soft Loan ได้ง่ายขึ้น
เนื่องจากทราบว่ามีเงินอุดหนุนจากบีโอไอตามมาช่วย ธนาคารจะให้ Soft Loan ในการปรับปรุง และเมื่อดำเนินการเสร็จสิ้นจึงรับเงินจากกองทุนฯเพื่อนำไปใช้คืนธนาคาร โดยมาตรการนี้ครอบคลุมทั้งบริษัทไทยขนาดใหญ่และ SMEs แม้ว่าอาจจะมีเกณฑ์ที่แตกต่างกันในการให้เงินสนับสนุน
เตรียมโรดโชว์ญี่ปุ่น พ.ย.นี้
สำหรับการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติ บีโอไอได้เตรียมการจัดโรดโชว์ในเดือนพ.ย.นี้ โดยมีนายเอกนิติในฐานะรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจเป็นผู้นำในการเดินทางไปโรดโชว์ โดยจะเริ่มต้นที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศแรก
นายนฤตม์ กล่าวต่อว่าสำหรับบทบาทของบีโอไอในฐานะฝ่ายเลขาฯ ของบอร์ดคณะกรรมการเศรษฐกิจระดับชาติอีก 2 คณะได้แก่คณะกรรมการยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) และคณะกรรมการนโยบายอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ และอิเล็กทรอนิกส์ชั้นสูงแห่งชาติ (บอร์ดเซมิคอนดักเตอร์) ได้มีการนำเสนอรายชื่อคณะกรรมการชุดใหม่ให้รัฐบาลพิจารณาแล้ว รวมทั้งได้มีการเตรียมวาระการประชุม ข้อเสนอ และมาตรการที่จำเป็นไว้พร้อมแล้ว เมื่อรัฐบาลมีการเห็นชอบคำสั่งแต่งตั้งบอร์ดชุดใหม่ และนัดหมายการประชุมจะสามารถเสนอวาระเข้าสู่การพิจารณาได้ทันทีซึ่งคาดว่ามาตรการที่จำเป็นจะสามารถออกมาได้ภายใน 1-2 เดือนนี้
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







