สมาคมธนาคารไทย ชี้ 3 จุดอ่อน ฉุดเศรษฐกิจไทยโตต่ำสุดอาเซียน

“สมาคมธนาคารไทย” ชี้ 3 จุดอ่อน ฉุดเศรษฐกิจไทยโตต่ำสุดในอาเซียน จี้เดินหน้าใช้เทคโนโลยีควบคู่ความยั่งยืน เร่งจัดลำดับความสำคัญฟื้นเชื่อมั่นประเทศ
นายผยง ศรีวณิช ปนะธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวในการเสวนาหัวข้อ “พลิกเกมสู้เศรษฐกิจโลกป่วน” ภายในงานสัมนาประจำปี CEO ECONMASS AWARDS 2025 จัดโดยสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ เมื่อวันที่ 8 ต.ค.2568 ว่า กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่าประเทศไทยจะเติบโตอยู่ประมาณ 2.7% ในช่วง 5 ปีข้างหน้า ซึ่งถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของอาเซียนที่คาดการณ์ว่าจะโตอยู่ประมาณ 4.5% ทั้งที่เมื่อก่อนไทยเคยเป็นพี่ใหญ่ของอาเซียน
คำถามคือ เกิดอะไรขึ้นกับประเทศ
นายผยง กล่าวว่า สภาวะเศรษฐกิจไทยไม่สามารถเติบโตได้เนื่องจากไม่มีใครอยากลงทุนในประเทศ มีแต่คนอยากใช้เงินผ่านการกระตุ้นหรือการอุดหนุน โดยที่อาจไม่ได้มองถึงความยั่งยืนในระยะยาว
ทั้งนี้ สัญญาณที่สะท้อนถึงการขาดความมั่นใจในการลงทุนที่เห็นได้ชัดคือ บริษัทในตลาดหลักทรัพย์จำนวนถึงกว่า 65% มี P/BV หรืออัตราส่วนราคาตลาดต่อมูลค่าตามบัญชีต่ำกว่า 1
นอกจากนี้ สภาพคล่องในประเทศไหลออกไปลงทุนต่างประเทศ ผ่านกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ (FIF Fund) อย่างต่อเนื่อง และบริษัทไทยไปลงทุนต่างประเทศสะสมย้อนหลังกลับไปมากมายมหาศาลหลายล้านล้านบาท
ขณะเดียวกัน ยังพบว่าระบบเศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับภาวะที่สภาพคล่องล้นแต่ไม่ถึงคนตัวเล็ก ระบบธนาคารพาณิชย์มีสภาพคล่องที่นำไปปล่อยกู้ผ่านตลาดเงินกู้และซื้อพันธบัตรของธนาคารแห่งประเทศไทยระยะสั้น เฉลี่ยอยู่ประมาณ 5 ล้านล้านบาท แต่สภาพคล่องเหล่านี้กลับไม่ได้ไปหล่อเลี้ยงผู้ประกอบการรายย่อย
นายผยง ชี้ว่า SME ซึ่งมีสัดส่วนเพียงประมาณ 30% ของ GDP แต่สร้างการจ้างงานถึง 70% กลับไม่ได้รับประโยชน์ ในขณะที่บริษัทขนาดใหญ่เพียง 1% สร้าง GDP ประมาณ 65% ทำให้ประชากรส่วนใหญ่ไม่สามารถได้รับผลจากการเติบโตของเศรษฐกิจได้อย่างครอบคลุมและทั่วถึง
ทั้งนี้ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ได้ทำการสรุปต้นตอของปัญหาของประเทศออกเป็น 3 เรื่องหลักที่ต้องเร่งแก้ไข ประกอบไปด้วย 1. ปัญหาเชิงโครงสร้าง 2. ปัญหาด้านประสิทธิภาพการผลิต และ 3. ปัญหาด้านประสิทธิภาพของภาครัฐ
นายผยง กล่าวต่อว่า ประเทศไทยจะต้องเร่งดำเนินการใน 2 แนวทางสำคัญ เพื่อให้หลุดพ้นจากกับดัก คือ ต้องใช้เทคโนโลยีและต้องอิงไปกับเรื่องของความยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Decarbonization) และการดูแลรักษาทรัพยากรสิ่งแวดล้อม
“ปัญหาหลักที่ทำให้ประเทศอ่อนแอคือ การขาดความสามารถในการสร้างรายได้ในระดับภาคครัวเรือนและภาคผู้ประกอบการรายย่อยในวงกว้าง และระบบไปยึดโยงอยู่กับผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีสัดส่วนต่อ GDP สูง”
3 ดัชนี วัดปัญหาประเทศ
นายผยง กล่าวว่า สิ่งที่น่ายินดีคือวันนี้นโยบาย Quick Win ของรัฐบาล เป็นไปในทิศทางเดียวกับภาคเอกชนและหน่วยงานด้านเศรษฐกิจต่างๆ ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการ จัดลำดับความสำคัญของประเทศ และการขับเคลื่อนต้องอยู่บนฐานของความโปร่งใส
ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มความโปร่งใสและนำไปสู่การถกเถียงเชิงนโยบายบนข้อเท็จจริง ทาง กกร. ได้เตรียมที่จะเปิดเผย 3 ดัชนี เพื่อเป็นแนวทางให้กับทุกภาคส่วนในระบบเศรษฐกิจได้เกิดการวิพากษ์บนข้อเท็จจริง ได้แก่ 1. ตัวเลขเศรษฐกิจนอกระบบ 2. หนี้นอกระบบ และ 3. ดัชนีคอร์รัปชัน (Corruption Index)
นายผยง กล่าวว่า การขับเคลื่อนทั้งหมดต้องอยู่บนหลัก นิติธรรม (Rule of Law) รวมถึงการบูรณาการด้านประสิทธิภาพการทำงานของภาครัฐเพื่อลดต้นทุนแฝงของทุกภาคส่วน พร้อมทั้งต้องเร่ง เพิ่มทักษะให้คนไทย และสร้างแรงจูงใจในระบบภาษี ซึ่งการประกาศนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลถือเป็นการส่งสัญญาณเบื้องต้นที่เริ่มเกิดความเชื่อมั่น (Trust and Confident) ในระบบเศรษฐกิจไปในทิศทางที่ดี







