'หอการค้า' เร่งรัฐเจรจา FTA - ฟื้นเชื่อมั่นจีน ดันเศรษฐกิจปีหน้า

“หอการค้าไทย” ชี้โอกาสเศรษฐกิจปี 69 ต้องเร่งเจรจา FTA และฟื้นความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยวจีน พร้อมแนะรัฐบาลปลดล็อกกฎระเบียบล้าหลัง สกัดคอร์รัปชันเป็นมะเร็งร้ายของประเทศ
ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทย ร่วมเสวนาหัวข้อ “พลิกเกมสู้เศรษฐกิจโลกป่วน” ในงานสัมมนาใหญ่เศรษฐกิจไทย ประจำปี 2568 จัดโดยสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ร่วมกับคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) และมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
โดยในช่วง 4 เดือนของรัฐบาล ฐานะภาคเอกชนมองว่าแม้จะไม่สามารถกำหนดแผนงานได้มาก แต่ช่วงระยะเวลาอันสั้นนี้ รัฐบาลควร Unlocking และ Transform เพื่อให้ประเทศพร้อมรับต่อโลกที่กำลังเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ โดยเฉพาะเรื่องการค้า ดังนั้นถึงเวลาที่ประเทศไทยต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างของประเทศให้สอดรับกับกติกาของโลกที่ถูกกำหนดใหม่ รองรับเทคโนโลยี AI เรื่องภูมิศาสตร์การค้า ที่เป็นกติกาการค้าของโลกในขณะนี้
สำหรับตามยุทธศาสตร์ที่มองว่ารัฐบาลควรเดินหน้าเปลี่ยนผ่านประเทศไทย ประกอบด้วย Unlocking คือ ปลดล็อกกฎระเบียบ ยกเลิก และแก้ไขกฎหมายที่ล้าหลัง กฎระเบียบที่ซ้ำซ้อนเป็นอุปสรรคต่อการค้า และการลงทุน รวมไปถึงปลดล็อกกำลังซื้อประชาชน และธุรกิจฐานราก ขยายโอกาสการเข้าถึง สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ และระบบค้ำประกันสินเชื่อ เพื่อฟื้นฟูกำลังซื้อของประชาชน และธุรกิจฐานราก และปลดล็อกการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ เร่งรัดการเจรจา FTA ที่เหลืออยู่ เช่น FTA ไทย - อาเซียน - แคนาดา
นอกจากนี้ ประเด็นสำคัญคือ การทำระบบเศรษฐกิจโปร่งใส ปราศจาก Corruption การทุจริต เพราะคอร์รัปชัน คือ มะเร็งร้ายของประเทศ ลดความเชื่อมั่นในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใน และสร้างปัญหาอย่างมากต่อการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ โดยขณะนี้หอการค้าไทยได้ร่วมกับองค์กรภาคีภาคเอกชน และหน่วยงานภาครัฐ เพื่อต่อต้านคอร์รัปชันในประเทศ
อีกทั้งขอเสนอให้รัฐบาลประกาศ Zero Corruption เป็นนโยบายหลักในการบริหารประเทศ และพรรคการเมืองที่จะลงเลือกตั้งครั้งต่อไป ขอให้นำเรื่อง Zero Corruption มาเป็นนโยบายหลักในการหาเสียง เป็นนโยบายของรัฐในการบริหารประเทศ เชื่อว่าหากดำเนินการตามนโยบายนี้จะได้รับการสนับสนุนจากประชาชนอย่างมาก
ดร.พจน์ กล่าวด้วยว่า ตัวเลขประมาณการเศรษฐกิจไทยล่าสุดของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ในเดือนต.ค.ที่ผ่านมา กำหนดกรอบ GDP ปี 2568 ไว้ที่ 1.8-2.2% และการส่งออกที่ 2.5% เงินเฟ้อ 0 – 0.5% แต่คาดว่าการส่งออกจริงมีแนวโน้มจะดีกว่า 2.5% และอาจทำได้ถึง 5% ซึ่งจะมีการปรับตัวเลขอย่างเป็นทางการในเดือนพ.ย.นี้ โดยหากการส่งออกเป็นไปตามคาดถึง 5% จะช่วยหนุนให้ตัวเลข GDP ปรับตัวดีขึ้นตามไปด้วย
ส่วนการประมาณการปี 2569 ขณะนี้การมีรัฐบาลใหม่ที่สามารถบริหารประเทศได้อย่างเต็มที่ มีทีมเศรษฐกิจจากคนนอกเข้ามาช่วย ถือว่าคงขับเคลื่อนได้ดีกว่าช่วงรัฐบาลรักษาการ เพราะอำนาจที่มีเยอะกว่า แต่กรอบ 4 เดือนที่รัฐบาลกำหนดไว้ ต้องขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่รับฟังข้อเสนอของภาคเอกชน และนำไปกำหนดออกนโยบายระยะสั้น ส่วนตัวมองว่าเป็นเรื่องที่ดี และจะเป็นการหาทางออกของประเทศได้โดยเร็ว
ทั้งนี้ประเด็นที่ต้องจับตาในปี 2569 คือ การขับเคลื่อน FTA ไทย - สหรัฐ หากสามารถคลี่คลายประเด็นเรื่องการลงนาม MOA และผ่านสภาสหรัฐ ได้สำเร็จ พร้อมทั้งมีการกำหนดสัดส่วนวัตถุดิบในภูมิภาค (RVC) ที่ชัดเจน จะช่วยให้การส่งออกสินค้าไทยกลับไปสู่ระดับเดิมได้ เนื่องจากคู่แข่งในภูมิภาคส่วนใหญ่ก็มีอัตราภาษีใกล้เคียงกันประมาณ 19 - 20%
ส่วน FTA ไทย - EU มั่นใจว่าจะสามารถเจรจาในรายละเอียดได้จบภายในสิ้นปี 2568 ถึงต้นปี 2569 แต่ขั้นตอนที่ต้องไปผ่านสภาของ EU ที่มี 27 ขั้นตอน เชื่อว่าจะต้องใช้เวลา ส่วนของไทยหากต้องมีการยุบสภา และเลือกตั้งใหม่ในปีหน้า ก็จะเป็นประเด็นหนึ่งที่ต้องติดตาม แต่เชื่อว่าหากเรื่องนี้จบจะช่วยยกระดับตัวเลขส่งออกของไทยได้พอสมควร
นอกจากนี้ เรื่องของการท่องเที่ยว ยังน่ากังวลหลังตัวเลขนักท่องเที่ยว ณ สิ้นเดือนส.ค.ที่ผ่านมา ทำได้เพียง 21.5 ล้านคน ต่ำกว่าประมาณการถึง 3-4% เทียบกับปีที่แล้ว ทางเอกชนจึงขอเสนอรัฐบาลควรเร่งสร้างความเชื่อมั่น และดึงนักท่องเที่ยวจีนกลับมาอย่างเร่งด่วน เพราะจีนหายไปมากพอควร ดังนั้นนายกฯ น่าจะหาโอกาสไปจีนโดยด่วน เพื่อดึงนักท่องเที่ยวจีนเดินทาง เนื่องจากส่วนใหญ่มักนิยมท่องเที่ยวตั้งแต่เดือนต.ค.ถึง มี.ค.
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







