'อนุทิน' กางแผน รีเซตเศรษฐกิจ ตั้งเป้าเร่งเครื่องเพิ่มขีดแข่งขันประเทศ

"อนุทิน” ประกาศแผน "รีเซตโครงสร้างประเทศ" ใช้ 4 เสาหลักสู้ศึกโลกผันผวน อัดฉีด “คนละครึ่งพลัส” มั่นใจเงินสะพัด แสนล้าน รับเจอฝันร้าย ไทยตามหลังเวียดนาม ย้ำรัฐบาลไม่สามารถรีเซตประเทศได้เพียงลำพัง แต่ต้องการพลังจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน แรงงาน และสื่อมวลชน เซตเป้าหมาย แซงเพื่อนบ้าน ต้องเป็นหนึ่งในภูมิภาคให้ได้
KEY
POINTS
- นายอนุทิน ชาญวีรกูล ประกาศแผน "Reset โครงสร้างประเทศ Recover เศรษฐกิจไทย" ในงานสัมมนาสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ
- ผ่าน 4 มิติหลัก เพื่อเร่งเครื่องให้ประเทศเติบโต และรับมือความท้าทายใหม่ๆ
- รับฝันร้ายเศรษฐกิจไทยโตต่ำกว่าเวียดนาม ต้องเร่งเครื่อง และแข่งกับเพื่อนบ้านให้ไทย
- มุ่งรีเซตเศรษฐกิจหลายด้าน เผยการอัดฉีดเงินกว่า 1 แสนล้านบาทผ่านโครงการคนละครึ่งพลัส และบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็นมาตรการเบื้องต้น พร้อมส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล และพลังงานสะอาด
นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “Reset โครงสร้างประเทศ Recover เศรษฐกิจไทย” ในพิธีมอบรางวัลสุดยอดซีอีโอ ประจำปี 2568 ของสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ โดยกล่าวแสดงความยินดีกับผู้ได้รับรางวัล ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงความพร้อม และความเข้มแข็งของผู้ประกอบการ และระบบเศรษฐกิจไทย พร้อมทั้งชี้แจงถึงความจำเป็นที่ประเทศต้องปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ เพื่อเผชิญหน้ากับความท้าทายของโลกยุคปัจจุบัน
นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ได้ประกาศความจำเป็นในการ “Reset โครงสร้างประเทศ Recover เศรษฐกิจไทย” ว่า ไทยต้องปรับวิธีคิด วิธีทำงาน และบริหารความร่วมมือใหม่ทั้งหมด เพื่อรับมือกับสงครามความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการปฏิวัติเทคโนโลยี AI พร้อมตั้งเป้าหมายสูงสุดคือ ความมั่นคงในหลายมิติ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และการต่างประเทศ และส่งเสียงเตือนว่า ประเทศที่ปรับตัวช้าจะสูญเสียทั้งโอกาสทางเศรษฐกิจ และอำนาจต่อรองในเวทีโลก รัฐบาลจึงได้วางรากฐานใหม่
โดยเน้นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจผ่าน 4 มิติหลัก ดังนี้ 1. รีเซตเศรษฐกิจ อัดฉีดเงิน 100,000 ล้านบาท ผ่านคนละครึ่งพลัส และบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยมาตรการเด่นคือ โครงการคนละครึ่งพลัส ได้ถูกจำกัดความว่าเป็นนโยบายเศรษฐกิจเฉพาะกิจที่กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว และกระจายตัว” โดยรัฐบาลใช้งบประมาณ 44,000 ล้านบาท และมีการเติมเงินเข้าบัตรสวัสดิการของรัฐอีกกว่า 22,780 ล้านบาท จะทำให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจตั้งแต่ฐานราก ไม่ต่ำกว่า 100,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ รัฐบาลจะเร่งเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงาน และการเกษตรด้วยแนวทางสมาร์ต ฟาร์มมิ่ง และส่งเสริมพลังงานแสงอาทิตย์ ในภาคครัวเรือนและเกษตร เพื่อสร้าง เศรษฐกิจสีเขียว พร้อมผลักดันเศรษฐกิจดิจิทัลเต็มรูปแบบ โดยนำ AI และ Big Data มาปรับใช้ในภาคการผลิต การค้า และบริการ รวมถึงอุตสาหกรรมอนาคต เช่น เซมิคอนดักเตอร์ และ Clean Technology สำหรับภาคเอกชน รัฐบาลตระหนักถึงแรงกดดันจากสงครามการค้า จึงเร่งเจรจา ข้อตกลงภาษีต่างตอบแทน (Agreement on Reciprocal Tax)
2. รีเซตศักยภาพ ตั้งเป้าต้องแซงเพื่อนบ้านให้ได้ และรับมือสังคมสูงวัย ต้องยอมรับว่า การที่เศรษฐกิจไทยเติบโตช้ากว่าประเทศในภูมิภาคอินโดจีน โดยเฉพาะการตามหลัง เวียดนาม ถือเป็นฝันร้าย จึงต้องเร่งกระโดดและ “catch up” ตามให้ทัน โดยยืนยันว่าประเทศไทยมีความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ และมีทางออกทะเลทั้งสองข้าง ซึ่งเป็นความหวังในการคงความ เป็นศูนย์กลางการค้าในภูมิภาคนี้ รวมทั้งมีความท้าทายสำคัญคือ การเป็น สังคมสูงวัยอย่างเต็มรูปแบบ ส่งผลต่อต้นทุนสุขภาพที่สูงขึ้น เนื่องจากไทยมีระบบประกันสุขภาพที่ดีมาก รักษาทุกคน ทุกที่ ทุกโรค การแก้ไขคือต้องสร้างระบบที่เปิดโอกาสให้ผู้สูงอายุ มีงานทำ และมีรายได้
พร้อมทั้งสนับสนุนอุตสาหกรรมสุขภาพ และปรับโครงสร้างพื้นฐานทั่วประเทศให้เป็นมิตรต่อผู้สูงอายุ โดยใช้แนวคิด Universal Design ในการออกแบบเมือง และอาคารต่างๆ นอกจากนี้ กระทรวงที่เกี่ยวข้องจะร่วมกันส่งเสริมให้เด็กไทยเกิด และเติบโตอย่างมีคุณภาพ เพื่อแก้ วิกฤติเด็กเกิด
3. รีเซตความมั่นคง และนิติธรรม ยกเครื่องสู่มาตรฐานสากล รัฐบาลกำลังจัดการปัญหาภัยสังคมที่กัดกร่อนความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ เช่น ยาเสพติด พนันออนไลน์ และอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเน้นการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่งเป็น ต้นทุนแฝง ในระบบเศรษฐกิจ ขณะนี้ประเทศไทยกำลังอยู่ระหว่างการดำเนินการสมัครเข้าเป็นสมาชิก OECD (Organization of Economic and Cooperation Development) ซึ่งเกณฑ์ที่องค์กรนี้จะพิจารณาเป็นพิเศษคือเรื่อง การมีกระบวนการยุติธรรมที่เป็นไปตามหลักนิติธรรม นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่รัฐบาลต้องเร่งปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมและปรับปรุงกฎระเบียบต่างๆ ให้ได้มาตรฐานสากล
4. รีเซตด้านสิ่งแวดล้อมและดิจิทัล มุ่งสู่ Net Zero 2050 รัฐบาลตั้งเป้าหมายสร้างสังคมคาร์บอนต่ำ โดยกำหนดเป้า Net Zero หรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิ 0 ภายในปี 2050 เพื่อให้สินค้าไทยเป็นที่ยอมรับในเวทีโลก และไม่เสียเปรียบทางการค้าจะมีการจัดตั้งให้มี ตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิตมาตรฐาน พร้อมออกกฎหมายสำคัญ เช่น พ.ร.บ. จัดการอากาศสะอาด และ พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งถือเป็นการลงทุนระยะยาวเพื่อความยั่งยืนตามหลัก SDG นอกจากนี้ จะเร่งสร้างความเป็น รัฐบาลดิจิทัลที่เชื่อมโยงกันทั้งระบบ ซึ่งจะทำให้เกิดความโปร่งใส และช่วยในการป้องปรามการทุจริตคอร์รัปชันได้อย่างแน่นอน
นายอนุทิน กล่าวสรุปว่า รัฐบาลไม่สามารถรีเซตประเทศได้เพียงลำพัง แต่ต้องการพลังจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน แรงงาน และสื่อมวลชน เราต้องเซตเป้าหมายไว้ว่า ต้องแซงเพื่อนบ้านให้ได้ ต้องเป็นหนึ่งในภูมิภาคให้ได้ ประเทศไทยไม่ได้ขาดศักยภาพ แต่ขาดระบบที่เปิดโอกาสให้ศักยภาพนั้นได้ทำงานอย่างเต็มที่
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







