'คลัง' เล็งออกมาตรการเศรษฐกิจรายสัปดาห์ 'เอกนิติ' หวัง GDP โตเกิน 2.2%

ครม.อนุมัติ ‘คนละครึ่งพลัส’ อัดงบ 4.4 หมื่นล้าน เติมกำลังซื้อ ปลุกเศรษฐกิจปลายปี ‘เอกนิติ’ เผย เปิดให้คนอายุ 16 ปีขึ้นไป ลงทะเบียน 20-26 ต.ค.68 ใช้สิทธิวันที่ 29 ต.ค.-31 ธ.ค.68
KEY
POINTS
- ครม.อนุมัติ ‘คนละครึ่งพลัส’ อัดงบ 4.4 หมื่นล้าน เติมกำลังซื้อ ปลุกเศรษฐกิจปลายปี
- ‘เอกนิติ’ เผย เปิดให้คนอายุ 16 ปีขึ้นไป ลงทะเบียน 20-26 ต.ค.68 ใช้สิทธิวันที่ 29 ต.ค. - 31 ธ.ค.เมื่อรวมกับบัตรสวัสดิการ มั่นใจเงินสะพัดแสนล้าน หวังผลดันจีดีพีไตรมาสสุดท้ายได้ 0.6%
- เตรียมออกนโยบายเพิ่มทุกสัปดาห์ ลุ้นดันจีดีพีโตเกิน 2.2%
- ไฟเขียวตั้ง ครม.เศรษฐกิจ นายกฯ นั่งประธานขับเคลื่อนนโยบาย
รัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล ตั้งเป้าหมายฟื้นเศรษฐกิจผ่านมาตรการกระตุ้นระยะสั้น โดยใช้มาตรการคนละครึ่งพลัสเป็นมาตรการแรก ควบคู่มาตรการเติมเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย 33.4 ล้านคน
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบโครงการ “คนละครึ่ง พลัส” เพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพประชาชน และกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก โดยกำหนดให้ประชาชนลงทะเบียนสิทธิผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ระหว่างวันที่ 20-26 ต.ค.2568 และเริ่มใช้สิทธิตั้งแต่วันที่ 29 ต.ค. - 31 ธ.ค.2568
ทั้งนี้ผู้ได้รับสิทธิต้องเริ่มใช้สิทธิครั้งแรกภายในวันที่ 11 พ.ย.2568 เวลา 23.00 น. หากไม่ใช้จะถูกตัดสิทธิ ขณะที่สิทธิสำหรับการสั่งอาหารผ่านบริการฟู้ดเดลิเวอรีใช้ได้ตั้งแต่วันที่ 7 พ.ย. - 31 ธ.ค.2568
สำหรับคุณสมบัติผู้มีสิทธิ คือ ต้องเป็นประชาชนสัญชาติไทย มีบัตรประชาชน อายุ 16 ปีบริบูรณ์ขึ้นไปในวันลงทะเบียน ไม่เป็นผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ณ วันที่ 1 ต.ค.2568 และไม่เป็นผู้ที่ถูกระงับสิทธิจากโครงการคนละครึ่งเฟส 1-5
ส่วนการรับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลจะได้สูงสุดวันละ 200 บาทต่อคน เพิ่มจากโครงการเดิมให้วันละ 150 บาท โดยรัฐช่วยจ่ายครึ่งหนึ่งของยอดใช้จ่าย รวมตลอดโครงการ 2,000 บาทต่อคน และหากเป็นประชาชนผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจะได้รับสิทธิ “พลัส” เพิ่มเติม รวมเป็น 2,400 บาทต่อคน ตลอดโครงการ
“รัฐบาลต้องการให้เป็นโครงการเรือธงมาเสริมโครงการบัตรสวัสดิการที่อนุมัติเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นโครงการกระตุ้นสั้น ได้ผลยาว ครอบคลุมผู้ได้รับสิทธิทั้งหมด 20 ล้านคน ลดรายจ่ายจากที่รับสมทบให้คนละครึ่งและช่วยร้านค้ารายเล็กรายย่อยได้เพิ่มรายได้ และกระตุ้นเศรษฐกิจที่ได้ผลยาวจากการพลัส”
นายเอกนิติ กล่าวว่า สำหรับคำว่า “พลัส” โครงการนี้สะท้อนการเพิ่มสิทธิ และประโยชน์มากกว่าคนละครึ่งในเฟสที่ผ่านมา ได้แก่
1.พลัสสิทธิ ให้สิทธิประชาชนครอบคลุมกว้างขึ้นตั้งแต่อายุ 16 ปีขึ้นไป ต่างจากครั้งก่อนที่ให้อายุ 18 ปีขึ้นไป
2.พลัสเงินใช้จ่าย โดยเพิ่มวงเงินสำหรับผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
3.พลัสสิทธิพิเศษ ที่ขยายความร่วมมือไปยังร้านค้า ร้านอาหาร ผู้ประกอบการรายย่อย และโมโครเอสเอ็มอี ที่มีรายได้ปีละไม่เกิน 1.8 ล้านบาท
4.พลัสเศรษฐกิจ ที่ช่วยให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยในระบบจริง สนับสนุนรายได้ให้ผู้ประกอบการท้องถิ่น และธุรกิจขนาดเล็ก พร้อมทั้งผลักดันให้สังคมไทยเข้าสู่ระบบการทำธุรกรรมดิจิทัลที่โปร่งใส ทันสมัย โดยเพิ่มทักษะนี้ให้ผู้ประกอบการรายย่อย และเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ
เล็งคลาดมาตรการทุกสัปดาห์
นายเอกนิติ กล่าวว่า โครงการนี้ดำเนินการภายใต้นโยบายแนวคิด Quick Big Win โดย Quick ทำเร็ว จะใช้แอปพลิเคชันเป๋าตัง และถุงเงิน ที่มีอยู่แล้ว และประชาชนคุ้นเคย ขณะที่ Big เม็ดเงินใหญ่ ใช้แหล่งเงินงบประมาณรวม 44,000 ล้านบาท มาจากงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 25,000 ล้านบาท และงบกลาง 19,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ เมื่อรวมการสมทบจากประชาชนอีก 44,000 ล้านบาท จะมีเงินหมุนเวียนรวม 88,000 ล้านบาท หากรวมกับเงินที่เติมเข้าบัตรสวัสดิการในช่วง พ.ย. - ธ.ค.นี้ ที่ ครม.อนุมัติเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว 23,000 ล้านบาท จะทำให้มีเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจรวมกันประมาณแสนล้านบาท จะกระตุ้นจีดีพี 0.3-0.4% เมื่อรวมกับคาดการเดิม 0.3% ในไตรมาสสุดท้ายจีดีพีจะขยายตัวได้อย่างน้อย 0.6%
รวมทั้งรัฐบาลจะมีมาตรการอื่นออกเพิ่มอีกทุกสัปดาห์ และ Win ผลลัพธ์ที่ประชาชนทั่วไป พ่อค้าแม่ค้า และผู้ประกอบการไมโครเอสเอ็มอีจะได้รับประโยชน์ และช่วยให้เกิดการกระจายตัวทางเศรษฐกิจไปทั่วประเทศทำให้จีดีพีไตรมาสสุดท้ายอาจโตได้ถึง 1%
ส่วนเป้าจีดีพีทั้งปีจะโตกว่า 2.2% ตามที่กระทรวงการคลังคาดการณ์ไว้หรือไม่นั้นนายเอกนิติระบุว่า “จะพยายาม”
มั่นใจความพร้อมระบบรองรับลงทะเบียน
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ขอให้ประชาชนมั่นใจว่าระบบการลงทะเบียนจะรองรับได้ 100,000 ธุรกรรม/วินาที จากเดิมรองรับ 50,000 ธุรกรรม/วินาที ประชาชนจึงสบายใจในระบบการลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน ‘เป๋าตัง’ ว่าจะเสถียรขึ้น
“กฤษฎีกา” ชี้โยกงบไม่ขัดกฎหมาย
นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ครม.สอบถามข้อกังวลการใช้งบกลางรายการสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉิน และจำเป็นเร่งด่วน 2569 วงเงิน 19,000 ล้านบาท มาใช้ในโครงการคนละครึ่งพลัสว่าสามารถทำได้หรือไม่
ทั้งนี้ นายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้ตอบคำถามว่า สามารถทำได้ เนื่องจากการใช้งบกลางฯในส่วนนี้เป็นไปตามที่นายกรัฐมนตรี ได้มีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาว่าภัยเรื่องหนึ่งที่กระทบกับประเทศก็คือ เรื่องของ “ภัยเศรษฐกิจ” เป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วน และฉุกเฉินที่รัฐบาลจะต้องแก้ไขปัญหาจึงไม่ขัดต่อข้อกฎหมาย
ไฟเขียวตั้ง ครม.เศรษฐกิจ
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม.เห็นชอบแต่งตั้งคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และมีนายเอกนิติ เป็นรองประธาน
นอจากนั้นมีหัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวง และหัวหน้าส่วนราชการ เป็นกรรมการ รวม 25 คน โดยมีผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เป็นกรรมการและเลขานุการ และมีรองผู้อำนวยการ สศค.เป็นกรรมการและรองเลขานุการ
นายสิริพงศ์ กล่าวว่า การแต่งตั้ง ครม.เศรษฐกิจ เป็นไปตามนโยบายของนายอนุทินนายกรัฐมนตรีที่ต้องการให้มีการประชุมเพื่อติดตามการขับเคลื่อนงานด้านเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง โดยกำหนดให้ประชุมทุกวันจันทร์ อย่างไรก็ตามเนื่องจากวันจันทร์หน้าเป็นวันหยุดราชการ จึงยังไม่กำหนดจะประชุมหรือไม่อยู่ที่การสั่งการของนายกรัฐมนตรี
ส่วนประเด็นความคืบหน้าการเจรจาภาษีกับสหรัฐ นายสิริพงศ์ ระบุว่าใน ครม.ครั้งนี้ยังไม่ได้หารือ แต่คาดว่าจะประชุมเรื่องนี้ใน ครม.เศรษฐกิจนัดแรก รวมทั้งการแต่งตั้งทีมไทยแลนด์ชุดใหม่ที่จะเจรจาสหรัฐ
นายวรภัค ธันยาวงษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า รัฐบาลมอบหมายให้นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นหัวหน้าทีมไทยแลนด์เจรจาภาษีกับสหรัฐ โดยตนเองมีหน้าที่ในการสนับสนุนข้อมูลการเจรจาในฐานะเคยร่วมทีมเจรจาเมื่อรัฐบาลที่ผ่านมา
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







