ประชาชนเตรียมเฮ. พาณิชย์ เตรียมคิกออฟลงนาม รพ.เอกชน 28 ต.ค. เปิดทางซื้อยานอกโรงพยาบาล

"พาณิชย์" เผย 28 ต.ค.นี้ คิกออฟลงนามMOU โครงการ “สุขกาย สบายกระเป๋า” เปิดสิทธิผู้ป่วยเลือกซื้อยาเองในหรือนอกโรงพยาบาลได้ เผยมีรพ.ร่วมโครงการแล้ว 354 แห่ง เตรียมเปิดลงทะเบียนร้านลงเข้าร่วมโครงการ "สุขกาย สบายกระเป๋า"มั่นใจประชาชนได้รับความเป็นธรรมในการเลือกซื้อยาที่ราคาเหมาะสม
นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้มีการประชุมกับสมาคมโรงพยาบาลเอกชน กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ สำนักงานคณะกรรมการอาหาร และ ยาหรือ อย. เพื่อร่วมกันทำโครงการ"สุขกาย สบายกระเป๋า " เพื่อเปิดเผยราคายาแสดง ราคา ยา เพื่อเพิ่มทางเลือกให้ประชาชน ให้ ประชาชนสามารถเลือกซื้อยานอกโรงพยาบาล
ปัจจุบันมีโรงพยาบาลที่จะเข้าร่วมโครงการทั้งหมด 9 เครือ จำนวน 354 แห่ง ครอบคลุมทั่วประเทศ เช่น ร.พ.BDMS ,ร.พ.ธนบุรี ,ร.พ.บางกอกเชน(เกษมราษฎร์),ร.พ.บางปะกอก-ปิยะเวท ,ร.พ.รามคำแหง-วิภาราม ,ร.พ.พริ้นซิเพิล,ร.พ.นวมินทร์ ,ร.พ.สินแพทย์ และร.พ.จุฬารัตน์ ขณะเดียวกัน ร้านขายยาทั่วประเทศมีอยู่ประมาณ 20,099 ร้าน โดยร้านขายยาที่มีเภสัชกรประจำอยู่ 19,206 หรือว่า 93% ในวันที่ 10 ต.ค.นี้จะมีการหารือถึงรายละเอียดคุณสมบัติ เพื่อเปิดให้ร้านขายยาลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ
เบื้องต้นคนไข้ สามารถไปซื้อยาที่ร้านยาได้ ซึ่งจะครอบคลุมยาเกือบ 90% เช่น ป่วยทั่วไป หรือป่วยโรคเรื้อรัง อย่างโรคเบาหวาน โรคความดัน ที่ต้องใช้ยาแบบเดิมอยู่ประจำสามารถขอใบสั่งยาแล้วไปซื้อยาที่ร้านขายยานอกโรงพยาบยาลได้ ซึ่งรวมถึงเวชภัณฑ์ ต่าง ๆ ส่วนโรคร้ายแรง เช่น มะเร็ง หัวใจ ควรให้แพทย์ที่รักษาเป็นคนสั่งจ่ายยา เพราะยาบางชนิดไม่มีในร้านขายยา
สำหรับขั้นตอนการเข้ารับการรักษาประชาชนจะต้องแจ้งความประสงค์กับแพทย์ผู้ทำการรักษาว่าต้องการไปซื้อยานอกโรงพยาบาล เพื่อให้แพทย์ออกใบสั่งยา ก่อนจะมีการชำระเงินหน้าเคาน์เตอร์ ทั้งนี้ประชาชนจะเห็นราคายาก่อนจ่าย
“จะมีการจัดกิจกรรม MOU สุขกาย สบายกระเป๋า ในวันที่ 28 ต.ค. 2568 ที่ทำเนียบรัฐบาล โดยยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เป็นประธานแถลงข่าว พร้อมด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นสักสักขีพยานระหว่างการค้าภายใน กับ สมาคมรพ.เอกชน กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และสำนักงานคณะกรรมอาหารและยา” นายวิทยากร กล่าว
สำหรับโครงการดังกล่าวจะสามารถแบ่งเบาภาระค่าใช้ประชาชนได้ 32,400 ล้านบาทและลดความแออัดของภาครัฐ กลุ่มเป้าหมายที่เข้ามาใช้บริการ คือ คนไทย และต่างชาติที่มีที่อยู่อาศัยและทำงานในไทย แต่ไม่รวมนักเที่ยวต่างชาติและต่างชาติที่เข้ามารักษา นอกจากนี้ได้มีการหารือการดำเนินการเฟส 2 ศึกษาต้นทุนโครงสร้างราคายาให้มีความเหมาะสม ควบคุมต้นทุนการนำเข้ายาในส่วนของเฟส 2 จะดำเนินการเรื่องของโครงสร้างที่เป็นต้นทุน ค่าบริหารจัดการ ดูแลเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมมากที่สุด
ด้านนายแพทย์ไพบูลย์ เอกแสงศรี นายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้เป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยมีสิทธิเลือกซื้อยาได้โดยมีใบสั่งยาจากแพทย์ ส่วนปัญหายาแพงนั้น ยอมรับว่ามีหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้องที่เป็นต้นในการกำหนดราคายา เช่น ค่าที่ดิน เครื่อง มือแพทย์ ทั้งค่าบริหารจัดการ ค่าการตลาด ที่นำมาคำนวนเป็นต้นทุน แต่ละโรงพยาบาลจะแตกต่างกัน กำไรเฉลี่ยอยู่ที่ 10%
ทั้งนี้ ยังแสดงความเป็นห่วง กรณีผู้ป่วยที่ต้องการซื้อยาจากข้างนอกโรงพยาบาล ต้องมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปกำกับดูแลย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันยาที่ไม่ได้คุณภาพหรือยาปลอม ทั้งนี้ ยอมรับว่า โครงการลดค่าครองชีพครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อรายได้ของโรงพยาบาล







