เศรษฐกิจไทย : สาเหตุเติบโตต่ำและการพลิกฟื้นสู่การเติบโต 5%

ช่วงปลายเดือน ก.ย. 2568 ผมรับเชิญบรรยายแก่หัวหน้าส่วนราชการและภาคเอกชนจังหวัดเชียงราย หัวข้อ “มองโลก มองไทย กับโอกาสเชียงราย” จึงขอนำเสนอการวิเคราะห์เฉพาะเศรษฐกิจไทยเพื่อเป็นอีกความเห็นหนึ่ง
จาก “เสือเศรษฐกิจ” สู่ “การเติบโตที่เชื่องช้า” GDP ไทยโตน่าห่วง ช่วง 2527-2536 GDP โตเฉลี่ย 8.9% และช่วง 2558-2567 เหลือ 1.8% ขณะที่ 5 ปีย้อนหลัง GDP โตเพียง 0.5% ต่อปีเท่านั้น
ต้นตอหลักที่ฉุดรั้งเศรษฐกิจไทยโตต่ำ จาก 6 ปัจจัยหลักที่เชื่อมโยงกัน
1.1 ปัญหาผลิตภาพ (Productivity) ต่ำและติดกับดักรายได้ปานกลาง คือสาเหตุสำคัญที่สุด ไทยติดอยู่ใน “กับดักรายได้ปานกลาง” มากว่าทศวรรษ ไม่สามารถผลิตสินค้าพื้นฐานแข่งขันกับประเทศที่มีค่าแรงต่ำได้อีกต่อไป ขณะเดียวกันก็ไม่สามารถยกระดับเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อแข่งขันกับประเทศพัฒนาแล้วในสินค้ามูลค่าสูงได้
ภาคการผลิตไทยยังพึ่งพาการรับจ้างผลิตมากกว่าการสร้างแบรนด์และเทคโนโลยีของตนเอง ทำให้มูลค่าเพิ่มต่อหัวแรงงาน (Labor Productivity) เติบโตช้ามาก
1.2. เข้าสู่สังคมสูงวัย สัดส่วนผู้สูงอายุจะแตะร้อยละ 28.5 ภายในปี 2578 ส่งผลกระทบ 2 ด้านหลัก คือ กำลังแรงงานลดลง ทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ การบริโภคโดยรวมชะลอตัวลง เนื่องจากผู้สูงอายุใช้จ่ายลดลง และภาระทางการคลังเพิ่มขึ้น จากค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการและสุขภาพของผู้สูงอายุสูงขึ้น สร้างข้อจำกัดการคลังในการลงทุนสร้างรายได้ในอนาคต
1.3 หนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูงมาก กว่า 88% ของ GDP ภาระหนี้สินที่สูงนี้กัดกร่อนกำลังซื้อผู้บริโภคอย่างรุนแรง ทำให้การบริโภคภาคเอกชนซึ่งเป็นเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจ ไม่สามารถขยายตัวได้เต็มที่ ครัวเรือนนำรายได้ส่วนใหญ่ไปชำระหนี้แทนนำมาใช้จ่ายหรือลงทุน ลดแรงส่งการบริโภคภาคเอกชนซึ่งเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ
1.4. ลงทุนภาคเอกชนชะลอตัว จากการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ และการลงทุนของเอกชนในประเทศเติบโตในอัตราต่ำ โดยเฉพาะการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย (New S-Curve) ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเกิดขึ้นไม่มาก นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นและยังขาดการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล ทำให้ไทยเสียความสามารถการแข่งขันระดับโลก
1.5. ความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและการพึ่งพาการส่งออกสูง จากไทยเป็นเศรษฐกิจเปิดพึ่งพารายได้จากการส่งออกและการท่องเที่ยวในสัดส่วนที่สูงมาก เมื่อเศรษฐกิจโลกชะลอตัวจากสงครามการค้า, โรคระบาด, หรือความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบโดยตรงและรุนแรง
1.6 ความอ่อนแอเชิงสถาบันและประสิทธิภาพภาครัฐ ปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน ความไม่โปร่งใส กฎระเบียบที่ซ้ำซ้อน ล้าสมัยจำนวนมาก เป็นอุปสรรคสำคัญในการดำเนินธุรกิจและลดความน่าเชื่อถือของประเทศ
2.พลิกโฉมเศรษฐกิจด้วย 5 เสาหลัก GDP จะกลับมาโต 5% ซึ่งเป็นศักยภาพของเศรษฐกิจไทยช่วงก่อนหน้า ไม่สามารถใช้เพียงนโยบายกระตุ้นระยะสั้น แต่ต้องเป็นการ “ผ่าตัดใหญ่” เชิงโครงสร้าง โดยอาศัยบทเรียนและประสบการณ์จากประเทศที่ประสบความสำเร็จในการก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลาง
2.1) การปฏิรูปภาคการผลิต
เป้าหมาย : เปลี่ยนจาก “ผู้รับจ้างผลิต” (Made in Thailand) สู่ “ผู้สร้างสรรค์นวัตกรรม” (Created by Thailand)
แนวทาง : ส่งเสริมอุตสาหกรรมเป้าหมายอย่างจริงจัง ทุ่มเททรัพยากรและสิทธิประโยชน์ทางภาษีไปยังอุตสาหกรรม BCG (Bio-Circular-Green), ยานยนต์ไฟฟ้า (EV), อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ, ศูนย์กลางการแพทย์และสุขภาพมูลค่าสูง (High-Value Medical & Wellness Hub)
เกษตรอัจฉริยะและอาหารแห่งอนาคต (Smart Agriculture & Future Foods) โลจิสติกส์ยุคใหม่และเมืองอัจฉริยะ (Next-Generation Logistics & Smart Cities) จากที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ โดยพัฒนาศูนย์กลางโลจิสติกส์ที่ขับเคลื่อนด้วยระบบอัตโนมัติ
สร้าง Ecosystem ที่เอื้อต่อการทำธุรกิจ : ปรับปรุงกฎระเบียบ (Regulatory Guillotine), ลดขั้นตอนทางราชการ, และสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเกิด Startup ที่มีคุณภาพ
2.2) การพัฒนาภาคการเงิน
เป้าหมาย : สร้างระบบการเงินที่สนับสนุนการเติบโตของธุรกิจนวัตกรรม
แนวทาง : นโยบายการเงิน ธปท. คงเป้าหมายเสถียรภาพ แต่ต้องมีมาตรการเฉพาะจุด เพื่อเพิ่มการเข้าถึงสินเชื่อของ SMEs และ Startups ที่แม้มีความเสี่ยงสูง แต่เป็นความจำเป็นเชิงกลยุทธ์ เพื่อสร้างฐานเติบโตที่กว้าง มั่นคงและลดความเหลื่อมล้ำของประเทศ (SMEs คือกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจไต้หวัน )
ส่งเสริมตลาดทุน: ยกระดับกลไกตลาดทุน เช่น Venture Capital และ Private Equity เพื่อเป็นแหล่งทุนให้ธุรกิจเติบโตในระยะเริ่มต้นถึงกลาง
ต้นแบบความสำเร็จ: สิงคโปร์: สร้างศูนย์กลางการเงิน (Financial Hub) ที่มีกฎระเบียบโปร่งใส น่าเชื่อถือ ดึงดูดเงินทุนทั่วโลก เข้ามาสนับสนุนเศรษฐกิจ แม้ธนาคารพาณิชย์ไทยจะเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น แต่เป็นโอกาสพัฒนาศักยภาพ ขยายตลาด ท้าทายให้ธนาคารไทยต้องปรับตัว ซึ่งส่งผลดีต่อผู้บริโภคและระบบการเงินโดยรวม
2.3) การลงทุนใน “คน” และการใช้เทคโนโลยี (Human Capital & Technology)
เป้าหมาย: พัฒนาทักษะแรงงานให้พร้อมสำหรับเศรษฐกิจยุคใหม่
แนวทาง : ปฏิรูปการศึกษา: ปรับหลักสูตรให้เน้นด้าน STEM การคิดวิเคราะห์ และทักษะด้านดิจิทัล นโยบาย Reskill/Upskill: ภาครัฐและเอกชนต้องร่วมมือกันอย่างจริงจังในการจัดทำโครงการพัฒนาทักษะแรงงานเดิมให้สามารถทำงานกับเทคโนโลยีใหม่ได้
ต้นแบบความสำเร็จ: ไอร์แลนด์ (The Celtic Tiger): ทศวรรษ 1990s ลงทุนสร้างแรงงานคุณภาพสูงที่พูดภาษาอังกฤษได้ ดึงดูดการลงทุนโดยตรง จาก บ.เทคโนโลยีชั้นนำของสหรัฐฯ จนเศรษฐกิจเติบโตแบบก้าวกระโดด
สิงคโปร์: มีโครงการ “SkillsFuture” ที่รัฐบาลให้เงินสนับสนุนประชาชนทุกคนในการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) เพื่อพัฒนาทักษะอนาคต
2.4) เทคโนโลยี:
เป้าหมาย: Digital Transformation, ลงทุน R&D, สร้างโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล เช่น Data Center รองรับกิจกรรมดิจิทัลทุกรูปแบบ เสมือน “ที่ดิน” หรือ “อสังหาริมทรัพย์” ในโลกดิจิทัล เกษตรอัจฉริยะ - ใช้ IoT, drones และข้อมูลเพื่อเพิ่มผลผลิตการเกษตร
ระบบจัดการน้ำอัจฉริยะ – ใช้เทคโนโลยีจัดการทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ เศรษฐกิจสร้างสรรค์ดิจิทัล - สนับสนุนอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ดนตรี และศิลปะด้วยเทคโนโลยี
ต้นแบบความสำเร็จ : จีนและเกาหลีใต้ใช้นวัตกรรมนำการผลิต
2.5) การปรับนโยบายมหภาค (Macroeconomic Policy Adjustment)
เป้าหมาย: สร้างสมดุลระหว่างการเติบโตระยะสั้นและเสถียรภาพระยะยาว
แนวทาง : นโยบายการคลัง เปลี่ยนโฟกัส จากการกระตุ้นการบริโภคระยะสั้น (เช่น แจกเงิน) ไปสู่การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานระยะยาว เช่น ระบบสุขภาพทางไกล (Telehealth Platforms), โรงพยาบาลเสมือน (Virtual Hospitals) ระบบจัดการเมืองด้วย AI (City Brain) เป็นต้น
ใช้อัตราภาษีมูลเพิ่มหลายอัตรา : อัตราภาษี (เดิม) สินค้าจำเป็นพื้นฐาน เพิ่มอัตราภาษี VAT สินค้าฟุ่มเฟือย และเพิ่มบ้างสำหรับสินค้าบริการทั่วไป สร้างระบบคืนภาษีมูลค่าเพิ่มผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ กำหนดเกณฑ์รายได้ต่อปีสำหรับผู้มีสิทธิ์ได้รับคืนภาษี VAT เพื่อนำรายได้มาลงทุนโครงสร้างพื้นฐานระยะยาว
นโยบายการค้า: เร่งเจรจา FTA กับสหภาพยุโรป และ EFTA (นอร์เวย์/สวิตเซอร์แลนด์) และกับ UK ใช้ประโยชน์ RCEP เต็มที่ สนับสนุน SMEs ใช้แพลตฟอร์ม e-commerce เข้าถึงผู้บริโภคทั่วโลก รวมทั้งหาตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ เช่น ตะวันออกกลาง เอเชียใต้ และแอฟริกา
สรุปและข้อเสนอแนะ ทางรอดคือการ "เปลี่ยน" ไม่ใช่แค่ "กระตุ้น" ปัญหาของไทยเป็นปัญหา เชิงโครงสร้าง ต้องแก้ไขที่รากฐาน ต้องอาศัยความต่อเนื่องของนโยบาย และ ความร่วมมือทุกภาคส่วน เป้าหมายสุดท้ายคือ "การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม”







