การยกระดับอุตฯมันฝรั่งในไทยดึงโนว์ฮาว ลดจุดอ่อน-เสริมแกร่งรายได้เกษตรกร

มันฝรั่ง ไม่ใช่พืชพื้นถิ่นของไทย แต่ด้วยรสชาติที่ถูกใจผู้บริโภคทุกวัย โดยเฉพาะเมื่อนำมาแปรรูปโดยเฉพาะการทอดกรอบ ทำให้ปัจจุบันมีการปลูกมันฝรั่งกันอย่างแพร่หลาย
สุริวัสสา สัตตะรุจาวงษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์และรัฐกิจ ประจำประเทศไทยและอินโดไชน่าบริษัทเป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด กล่าวว่า การปลูกมันฝรั่งในประเทศไทยเริ่มต้นพร้อมกันกับที่บริษัทเข้ามาลงทุนในประเทศเมื่อ 30 ปีที่ผ่านมา ตามนโยบายของบริษัทที่กำหนดให้ส่งเสริมการปลูกมันฝรั่งในประเทศพร้อมกับรับซื้อ หรือคอนแทรค ฟาร์มมิ่ง(Contract Farming)
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าจากสภาพภูมิอากาศของไทย และเกษตรกรยังไม่มีประสบการณ์ ทำให้ผลผลิตมันฝรั่งที่ได้ออกมาไม่ค่อยดีนัก แต่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ทั้งบริษัทและเกษตรกรได้เรียนรู้การปลูกไปพร้อมๆ กันทำให้ปัจจุบันผลผลิตมันฝรั่งในประเทศมีคุณภาพดีไม่ต่างกันเมื่อเทียบกับมันฝรั่งที่ผลิตได้ในยุโรป โดยมีผลผลิตต่อไร่เฉลี่ยอยู่ที่ 2.5 ตันต่อไร่ กรณีที่เกษตรกรดูแลดีมากๆ ผลผลิตสูงสุดอยู่ที่ 4 ตันต่อไร่
ทั้งนี้ มันฝรั่งจะแยกออกเป็น 2 ประเภท คือ มันฝรั่งบริโภค รูปร่างยาวรี ให้นึกถึงมันฝรั่งสดที่นำมาต้นซุป เฟรนซ์ฟรายส์ เป็นต้นและมันฝรั่งโรงงาน ส่วนใหญ่นิยมปลูก สายพันธุ์แอตแลนติค (Atlantic) รูปร่างจะกลมๆ ให้นึกถึงกลุ่มขนมกินเล่นหรือ Snack มันฝรั่งทอดกรอบบรรจุถุง ซึ่งเป็นกลุ่มที่บริษัทให้การส่งเสริมปลูกอยู่ในขณะนี้ 4,800 คน ใน 9 จังหวัดภาคเหนือและอีสาน คือเชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง ลำพูน พะเยา ตาก เพชรบูรณ์ สกลนคร และนครพนม ผลผลิตโดยรวมประมาณ 1 แสนตันต่อปี น้อยกว่าความต้องการของโรงงานที่ 2 แสนตันต่อปี
การเลือกพื้นปลูกมันฝรั่งมีความสำคัญ เพราะเป็นพืชที่ต้องการอุณหภูมิต่างกันระหว่างกลางคืนกับกลางวัน ประมาณ 10 องศาเซลเซียล ต้องการความชุ่มชื้น แต่ไม่ท่วมแฉะ การปลูกจึงต้องยกร่องและไถพรวนเพื่อให้อากาศเข้าไปในดิน ทำให้ต้นมันฝรั่งฟอร์มหัวโดยประเทศไทยสามารถปลูกมันฝรั่งได้ 2 ครั้ง (Crop) ระยะเวลาการปลูก 90-100 วัน คือช่วงฤดูฝน ซึ่งมีข้อเสียคือเสี่ยงต่อผลผลิตเน่าเสีย มีต้นทุนการผลิตสูงเพราะความชื้นเยอะเกินไปต้องดูแลอย่างประคบประหงม และช่วงหลังนา ที่ได้ผลผลิตดี มีแป้งสูงคุณภาพต้นทุนต่ำ
การปลูกมันฝรั่งเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องใช้ปุ๋ยเคมีเพื่อช่วยในการเจริญเติบโต และสร้างเชื้อแป้งให้กับผลผลิต ดังนั้นการส่งเสริมปลูกจึงต้องอยู่ภายใต้การเพาะปลูกที่ดีและถูกต้องหรือ GAP แม้จะไม่ใช่มาตรฐานบังคับ โดยจะปลูกหมุนเวียน ไปกับข้าว ถั่วเหลือง และข้าวโพดหวาน
นอกจากนี้มันฝรั่ง เป็นพืชที่เก็บได้ไม่นานแม้จะอยู่ในห้องเย็น โดยทั่วไปจะเก็บได้ประมาณ 3-4 เดือนหลังการเก็บเกี่ยว หากนานกว่านั้น หัวมันจะมีรากงอกไม่สามารถนำไปแปรรูปได้ ทำให้บริษัทต้องกำหนดแผนการส่งเสริมให้ปลูกสลับเดือนกันในแต่ละพื้นที่เริ่มตั้งแต่เดือน ต.ค.ของทุกปีเป็นต้นไปเพื่อให้ทยอยเก็บเกี่ยวผลผลิตหลังสุดไม่เกินต้นเดือน เม.ย.ที่จังหวัดพะเยา โดยกำหนดราคารับซื้อผลผลิตฤดูแล้ง ขั้นต่ำไว้ที่ กิโลกรัมละ 11 บาทและผลผลิตในฤดูฝนไว้ที่ กิโลกรัมละ 14 บาท ช่วยส่งเสริมการสร้างรายได้หมุนเวียนสู่ชุมชนราว 1,500 ล้านบาทต่อปี
ธนเดช ตระกูลยิ่งยง ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายองค์กรสัมพันธ์และรัฐกิจประจำประเทศไทย กล่าวว่า เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพทางบริษัทได้ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในการวางแผนส่งเสริมการปลูกมันฝรั่งที่ยั่งยืนคือหัวใจ ของบริษัท ในการขับเคลื่อนงานเกษตรทั่วโลก คือ ‘การเกษตรเชิงบวก’ ซึ่งเป็นหนึ่งในเสาหลักของกลยุทธ์ระดับโลก PepsiCo Positive หรือ pep+” คือการ ‘ฟื้นฟู’ ระบบนิเวศให้ดีกว่าเดิม พร้อม ส่งเสริมให้มีการยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตของเกษตรกร เพื่อให้ต้นน้ำของธุรกิจแข็งแรงอย่างยั่งยืน เพราะธุรกิจจะเติบโตได้จริงก็ต่อเมื่อเกษตรกรและโลกเติบโตไปด้วยกัน
ภายใต้โครงการ Sustainable Farming Program (SFP) บริษัทได้ส่งเสริมให้ใช้เทคโนโลยี Agro Drone Scout และระบบวิเคราะห์ดินเพื่อประเมินผลผลิตและสุขภาพพืช ประเมินผลผลิต ความทนโรค และคุณภาพหัวมันฝรั่ง ให้เกษตรกรใช้โดรน และ AI เฝ้าระวังโรคแมลง วิเคราะห์สุขภาพดิน ช่วยให้น้ำ ปุ๋ยตรงจุด ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนและผลกระทบสิ่งแวดล้อม แนะนำให้เกษตรกรจัดการทรัพยากรที่เหมาะสม ผลักดัน ระบบน้ำหยด IPM หรือจัดการศัตรูพืชแบบบูรณาการ และ พืชหมุนเวียน เพื่อฟื้นฟูดินและเพิ่มความยืดหยุ่นต่อภูมิอากาศการพัฒนาสายพันธุ์มันฝรั่ง ให้ผลผลิตคงเส้นคงวา
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากความต้องการมันฝรั่งโรงงานเพิ่มมากขึ้นในแต่ละปีประกอบกับผลผลิตในประเทศจะขาดช่วงประมาณ 3-4 เดือน ทางบริษัทจึงต้องขอนำเข้าหัวมันฝรั่งสดเพื่อป้อนโรงงาน ในขณะที่แต่ละปียังต้องขอนำหัวพันธุ์มันฝรั่งเนื่องจากไทยไม่สามารถผลิตได้ โดยจะเริ่มเพาะหัวพันธุ์ตั้งแต่เดือนม.ค.ของทุกปีเพื่อให้มีต้นพันธุ์ทยอยส่งให้กับเกษตรกรตามแผนการเพาะปลูก
พีรพันธ์ คอทอง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า กระทรวงเกษตร ประกอบด้วยกรมส่งเสริมการเกษตร กรมวิชาการเกษตรกรมพัฒนาที่ดิน สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร กรมชลประทาน สำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม และสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน)ลงนามบันทึกความเข้าใจกับ(MOU) โครงการส่งเสริมเทคโนโลยีที่เหมาะสมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตมันฝรั่งอย่างยั่งยืน เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกับบริษัทเป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด
ภายใต้ MOU นี้ ภาครัฐและเอกชนจะร่วมกันดำเนินงาน 5 ด้านสำคัญ ได้แก่ การวิจัยและพัฒนาพันธุ์มันฝรั่งไทยให้ทนต่อสภาพอากาศและโรค การผลิตและกระจายหัวพันธุ์คุณภาพลดการพึ่งพาการนำเข้า การบริหารจัดการพื้นที่และน้ำโดยใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม เช่น ระบบน้ำหยด การถ่ายทอดองค์ความรู้แก่เกษตรกร ผ่านเกษตรแปลงใหญ่และเกษตรพันธสัญญา การรับซื้อผลผลิตอย่างเป็นธรรมเพื่อสร้างแรงจูงใจและรายได้มั่นคงแก่เกษตรกร
“ความร่วมมือครั้งนี้จะก่อให้เกิดมูลค่าต่อภาคเกษตรในหลายด้าน เช่น ยกระดับรายได้ของเกษตรกร จากการปลูกมันฝรั่งพันธุ์โรงงานที่ตรงตามความต้องการของตลาด เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและคุณภาพผลผลิตให้ได้มาตรฐานสากล สร้างห่วงโซ่คุณค่าที่มั่นคง ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ทั้งการผลิต การตลาด การจัดการ และการผลักดันนวัตกรรมและงานวิจัย ให้เกิดการถ่ายทอดความรู้สู่เกษตรกร การส่งเสริมการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมรองรับความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ "
รวมทั้งการส่งเสริมนวัตกรรมและเทคโนโลยีการผลิตที่เหมาะสม เช่น การถ่ายทอดองค์ความรู้ เทคโนโลยีการเพาะปลูก และระบบการผลิตสมัยใหม่ ระบบตลาดที่เป็นธรรมและมั่นคง ที่มีการกำหนดราคาชัดเจนและรับซื้อผลผลิตตามข้อตกลง ระบบเกษตรพันธสัญญา (Contract Farming) ที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ และลดความเสี่ยงให้กับเกษตรกร การสนับสนุนด้านงานวิจัยเพื่อพัฒนาสายพันธุ์และกระบวนการผลิตที่มีประสิทธิภาพ”
ทั้งนี้อุตสาหกรรมมันฝรั่งมีมูลค่าตลาดปลายน้ำกว่า 14,000 ล้านบาทต่อปี และเป็นหนึ่งในตัวอย่างความสำเร็จของระบบเกษตรพันธสัญญาที่ช่วยให้เกษตรกรมีรายได้มั่นคง อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังต้องนำเข้ามันฝรั่งสดและหัวพันธุ์ตัน จึงจำเป็นต้องพัฒนาพันธุ์มันฝรั่งไทยให้มีคุณภาพและเพียงพอต่อความต้องการของอุตสาหกรรมการวิจัยและพัฒนาพันธุ์มันฝรั่งไทยภายใต้ MOU นี้ จะช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้าเป็นจุดเปลี่ยนเชิงยุทธศาสตร์ที่จะทำให้มันฝรั่งไทยก้าวสู่ความยั่งยืน ลดความเสี่ยงด้านภูมิอากาศ ลดต้นทุนการผลิต และสร้างรายได้ที่มั่นคงให้เกษตรกร
โดย MOUมีผลบังคับใช้ 3 ปี นับตั้งแต่วันที่ 22 ก.ย. 2568 ถึงวันที่ 21 ก.ย. 2571 เพื่อส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาการผลิตมันฝรั่งของเกษตรกรอย่างยั่งยืน ซึ่งทุกฝ่ายได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการส่งเสริมเทคโนโลยีที่เหมาะสมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ การผลิตมันฝรั่งของเกษตรกรอย่างยั่งยืน เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มุ่งเน้นให้เกิดกลไกสนับสนุนทางด้านการผลิต การวิจัยพัฒนา การตลาด และการบริหารจัดการห่วงโซ่คุณค่าที่โปร่งใส และเป็นธรรมต่อเกษตรกรผู้ปลูกมันฝรั่งต่อไป







