‘รัฐบาล’ เร่งเครื่องเศรษฐกิจไตรมาส 4 ‘เอกนิติ – ศุภจี’ กางแผนดันจีดีพี ลุยส่งออก

“เอกนิติ” ชง ครม.เคาะคนละครึ่งพลัส อนุมัติ 4.4 หมื่นล้าน ประชาชนรับ 20 ล้านสิทธิ ลงทะเบียน 20 ต.ค.68 กระตุ้นใช้จ่าย 2 เดือนสุดท้ายปีนี้ เพิ่ม GDP 0.3-0.4% เดินหน้านโยบายเศรษฐกิจ 5 เสาหลัก ฟื้นความเชื่อมั่นความน่าเชื่อถือประเทศ
KEY
POINTS
- "คลัง" เสนอ ครม. โครงการ "คนละครึ่งพลัส" อนุมัติงบประมาณ 4.4 หมื่นล้านบาท สำหรับประชาชน 20 ล้านสิทธิ
- โครงการนี้เป็นมาตรการเร่งด่วนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี โดยรัฐจะช่วยจ่าย 50% สูงสุดไม่เกิน 200 บาทต่อวัน
- ประชาชนจะสามารถลงทะเบียนรับสิทธิได้ในวันที่ 20 ต.ค.68 และเริ่มใช้จ่ายได้ตั้งแต่วันที่ 29 ต.ค.2568 ถึงสิ้นเดือน ธ.ค.2568
การดำเนินมาตรการทางการคลังเพื่อเร่งฟื้นเศรษฐกิจถือเป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลปัจจุบันภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ประกาศมาตรการ “Quick Big Win”
สำหรับมาตรการแรก คือ มาตรการคนละครึ่งพลัส จะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 7 ต.ค.2568 เพื่อให้ส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือปีนี้ ซึ่งรัฐบาลยืนยันว่าจะดำเนินการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยยังยึดมั่นในการรักษาเสถียรภาพทางการคลัง
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยใน “งานครบรอบ 38 ปี กรุงเทพธุรกิจ” ว่า กระทรวงการคลัง จะเสนอโครงการคนละครึ่งพลัสเข้าสู่ที่ประชุม ครม.วันนี้ (7 ต.ค.68) เพื่อขอหลักการเห็นชอบและอนุมัติงบประมาณ 4.4 หมื่นล้านบาท สำหรับประชาชน 20 ล้านสิทธิ
สำหรับโครงการดังกล่าวจะเป็นเสาหลักแรกของนโยบาย “Quick Big Win” กระตุ้นเศรษฐกิจไตรมาสสุดท้ายปีนี้ ซึ่งจะแบ่งเบาภาระค่าครองชีพให้ประชาชน โดยรัฐบาลอุดหนุนครึ่งหนึ่งสูงสุด 200 บาทต่อวัน ทั้งยังเพิ่มรายได้ให้พ่อค้าแม่ค้ากระจายตัวทั่วประเทศ
นอกจากนี้ โครงการคนละครึ่งพลัสเปิดลงทะเบียนร้านค้าวันที่ 15 ต.ค.2568 ส่วนประชาชนรับสิทธิผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” โดยเริ่มลงทะเบียนวันที่ 20 ต.ค.2568 และเริ่มใช้จ่ายตั้งแต่วันที่ 29 ต.ค.-ธ.ค.2568
มาตรการครอบคลุมประชากร 33.5 ล้านคน
ทั้งนี้ มาตรการคนละครึ่งพลัสร่วมกับการเติมเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จะครอบคลุมประชากรรวม 33.5 ล้านคน ซึ่งจะเพิ่มกำลังซื้อช่วงปลายปี โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ประเมินว่าส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจ 0.3-0.4% จากเดิมที่หากไม่ทำอะไรเลยเศรษฐกิจไตรมาส 4 จะขยายตัวเพียง 0.3%
ขณะที่การดำเนินโครงการคนละครึ่งพลัสยังมุ่งเน้นผลระยะยาวคือ การเพิ่มทักษะให้กับพ่อค้า แม่ค้า ให้เข้าสู่โลกออนไลน์ การทำบัญชี และสามารถเข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้น โดยเรียนรู้ทักษะผ่านแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน”
นอกจากนี้ รัฐบาลได้ออกแบบให้ผู้ที่อยู่ในระบบภาษีได้รับเงินสมทบมากกว่า คือ 2,400 บาท ขณะที่ผู้ไม่อยู่ในระบบภาษีจะได้รับ 2,000 บาท เพื่อเป็นกำลังใจ และแสดงให้เห็นว่าการเสียภาษีนั้นได้ประโยชน์
ยันยึดมั่นในกรอบวินัยการคลัง
นายเอกนิติ กล่าวต่อว่า รัฐบาลออกแบบนโยบายเศรษฐกิจโดยคำนึงถึงกรอบวินัยการเงินการคลัง โดยเข้าใจดีว่าสถานการณ์ไทยมีความไม่แน่นอนสูง ทำให้สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Rating Agency) ความกังวล และมีแนวโน้มปรับมุมมองประเทศเป็นเชิงลบ โดยเฉพาะความกังวลทั้งการเมือง และความสามารถในการแข่งขันประเทศ
ทั้งนี้ การดำเนินนโยบายหลายเรื่องไม่ได้มีการกู้เงินใหม่ แต่ใช้วงเงินเดิมที่มีอยู่ในงบประมาณรายจ่ายปี 68 ทั้งการเติมเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ วงเงิน 23,000 ล้านบาท และการคืนหนี้ให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ทันทีประมาณ 34,000 ล้านบาท เพื่อแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลมีวินัยในการชำระคืนหนี้
ดัน 5 เสาหลักเคลื่อนเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ รัฐบาลจะเดินหน้านโยบายโดยคำนึงถึง “กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว และกระจายตัว”ให้สำเร็จผลช่วง 4 เดือน ซึ่งประกอบด้วย 5 เสาหลัก ได้แก่
1.การฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยโครงการคนละครึ่งพลัสจะเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปี
2.การแก้ปัญหาหนี้ประชาชนปัจจุบันอยู่ระหว่างการหารือร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ด้วยกลไกของบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) โดยเฉพาะหนี้ที่มูลค่าต่ำกว่า 100,000 บาท เพื่อให้ประชาชนที่มีหนี้มีสภาพคล่องกลับมาตั้งหลักได้อีก แทนที่จะถูกทิ้งไว้กับภาระที่เกินกำลัง
3.เติมสภาพคล่องให้ SMEช่วยให้เข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะสินเชื่อเพื่อการปรับเปลี่ยนโครงสร้างให้เข้าสู่โลกยุคใหม่
4.การออกแบบระบบการออมสำหรับสังคมผู้สูงอายุ เนื่องจากคนไทยส่วนใหญ่ไม่มีระบบสวัสดิการรองรับ โดยจะเพิ่มช่องทางให้ประชาชนเข้าถึงการออมผ่านพันธบัตรรัฐบาลซึ่งได้ผลตอบแทนที่มากกว่าการออมเงินในธนาคาร
5.เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันระยะยาวโดยการใช้เงินกองทุนของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ที่มีอยู่แล้ว 10,000 ล้านบาท ร่วมมือกับเอกชนเพื่อฝึกอบรมระยะสั้น เพิ่มทักษะแรงงานในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ได้แก่ อุตสาหกรรมดิจิทัล Data Center AI การเกษตรอัจฉริยะ และ BCG เพื่อแสดงให้นักลงทุนเห็นถึงความพร้อมที่จะลงทุนในประเทศ
รวมทั้งการเดินหน้านโยบาย“Fast Pass”เพื่อเร่งรัดให้เกิดการปลดล็อกอุปสรรคที่ทำให้การลงทุนที่ได้รับการอนุมัติค้างอยู่ให้เกิดขึ้นได้ทันที
ยันไม่ขยายกรอบหนี้สาธารณะเกิน 70%
นายเอกนิติ กล่าวว่า รัฐบาลเตรียมทบทวนกรอบการคลังระยะปานกลาง (MTFF) ในช่วงเดือนพ.ย.นี้ให้มีกรอบระยะเวลาที่ยาวกว่า 5 ปี เพื่อแสดงให้เห็นถึงความโปร่งใสในการดำเนินนโยบายการคลัง รวมทั้งเรื่องรายได้ รายจ่าย และยืนยันว่าหากไม่มีความจำเป็น จะไม่มีการขยายเพดานหนี้สาธารณะ
“ตามที่พิจารณาจากข้อมูลเบื้องต้น เชื่อว่ายังมีช่องว่างทางการคลัง (Poilicy Space) ที่เพียงพอที่รัฐบาลสามารถบริหาร และใช้จ่ายออย่างมีประสิทธิภาพ หากไม่มีความจำเป็นยืนยันว่าจะไม่มีการขยายเพดานการก่อหนี้”
เดินหน้าแก้ปัญหาค่าเงินบาท
ในประเด็นการดูแลความผันผวนของค่าเงินบาท นายเอกนิติ กล่าวว่า การตรวจสอบความผิดปกติของความคลาดเคลื่อนทางสถิติที่ผิดปกติ (Net Error & Omission) จำเป็นต้องมีการบูรณาการกันหลายส่วน โดยได้มอบหมายให้นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธานคณะกรรมการตรวจสอบ ในการประสานงานกับหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้ง ธปท. สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) และกรมศุลกากร เพื่อเชื่อมโยงข้อมูล (Connect the Dot) ตรวจสอบเงินที่อาจเข้าประเทศผ่านช่องทางที่ผิดปกติ รวมถึงประเด็นเรื่องคริปโทเคอร์เรนซี
“ความคลาดเคลื่อนทางสถิติเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ โดยการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบฯ จะช่วยให้เกิดการเชื่อมโยงข้อมูล และเรื่องนี้จะถูกนำเสนอต่อ ครม. เศรษฐกิจซึ่งจะทำให้รัฐบาลทำงานรวดเร็วมากยิ่งขึ้น”
‘ศุภจี’ เร่งเครื่องส่งออกโค้งสุดท้าย
นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจน่ากังวลเพราะผันผวนตลอด ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ให้ความสำคัญ และต้องเฝ้าระวังต่อเนื่องทั้งสินค้าเกษตรที่เกิดจากทั้งภาวะอากาศ การผลิตที่มากเกินอุปสงค์ และความไม่สมดุลระหว่างตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ ดังนั้น กระทรวงพาณิชย์จึงเร่งดำเนินมาตรการดูแลหลายด้านเพื่อรักษาเสถียรภาพของราคาสินค้า และรายได้เกษตรกร
ย้ำให้ความสำคัญค่าครองชีพ
สำหรับมาตรการสำคัญที่ดำเนินการอยู่ในขณะนี้ ได้แก่ การดูดซับผลผลิตส่วนเกินออกจากระบบตลาด เพื่อลดแรงกดดันด้านราคา และป้องกันสินค้าเกษตรราคาตก การลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกร ผ่านโครงการ “ธงเขียว” ที่มุ่งลดต้นทุนเกษตรกรช่วยเหลือในด้านค่าปุ๋ย และปัจจัยการผลิต อย่างต่อเนื่อง และการประสานความร่วมมือกับภาครัฐและเอกชน เพื่อหาช่องทางการจำหน่ายสินค้าเกษตรให้หลากหลายและเข้าถึงตลาดใหม่
นางศุภจี กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับการดูแลค่าครองชีพของประชาชน มีความตั้งใจที่จะทำสั้นแล้วก็ให้ได้ผลยาว กระจายตัว รัฐบาลก็จะมีโครงการคนละครึ่ง ทางพาณิชย์เองก็จะมีมาตรการของธงฟ้าที่ลงไปในพื้นที่
โดยเฉพาะพื้นที่ 7 จังหวัดชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชา ซึ่งสั่งการให้พาณิชย์จังหวัดลงพื้นที่สำรวจความต้องการของประชาชน และผู้ประกอบการ เพื่อจัดมาตรการช่วยเหลือให้ตรงจุด และต่อเนื่อง
“พาณิชย์” เร่งส่งออกตลาดจีน
สำหรับทิศทางการส่งออกของไทยในช่วงครึ่งปีหลังว่า แม้ภาคการส่งออกจะมีแนวโน้มชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจโลก แต่กระทรวงพาณิชย์ยังคงเร่งดำเนินมาตรการเชิงรุก โดยเฉพาะการเจรจาการค้าแบบรัฐต่อรัฐ หรือจีทูจีกับประเทศคู่ค้าหลัก และตลาดใหม่ เพื่อขยายโอกาสการส่งออกของไทยปัจจุบัน ไทยมีการเจรจาจีทูจีกับหลายประเทศ
โดยเฉพาะประเทศจีน ซึ่งปีนี้ครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน เป็นโอกาสสำคัญในการผลักดันการค้าระหว่างกัน โดยจีนอยู่ระหว่างการผลักดันให้เพิ่มปริมาณซื้อข้าวมากขึ้น พร้อมทั้งเจรจากับญี่ปุ่น และสิงคโปร์ เพื่อขยายตลาดสินค้าส่งออกเพิ่มเติม
นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังมุ่งเปิดตลาดใหม่ในภูมิภาคตะวันออกกลาง แอฟริกา และเอเชียใต้ ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง ทั้งในกลุ่มสินค้าเกษตร อาหาร และสินค้าอุปโภคบริโภค โดยเชื่อว่าจะช่วยสร้างรายได้ และกระตุ้นเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป
รวมทั้งยังร่วมมือกับ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ในการสนับสนุนค่าขนส่งสินค้า เพื่อให้ผู้ประกอบการรายย่อยสามารถกระจายสินค้าได้กว้างขวางขึ้น ลดต้นทุนโลจิสติกส์ และขยายช่องทางจำหน่ายสู่ตลาดใหม่ โดยเฉพาะสินค้าชุมชน และสินค้าเกษตรแปรรูป
ย้ำ รพ.เอกชนต้องเปิดเผยค่ายา
อีกหนึ่งมาตรการสำคัญเพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพคือ การเปิดเผยราคายาอย่างโปร่งใสให้ประชาชนสามารถตรวจสอบราคาและเลือกซื้อยาได้อย่างเป็นธรรม โดยกระทรวงพาณิชย์ได้ร่วมมือกับ สมาคมโรงพยาบาลเอกชน เพื่อให้โรงพยาบาลภาคเอกชนแสดงราคายาอย่างชัดเจน และเปิดทางให้ประชาชนสามารถเลือกซื้อยาจากร้านขายยาภายนอกโรงพยาบาลได้
“ขณะนี้มีโรงพยาบาลเอกชนกว่า 100 แห่ง จาก 5 เครือข่ายใหญ่ทั่วประเทศเข้าร่วม ซึ่งเป็นความร่วมมือแบบสมัครใจไม่ได้บังคับ แต่เป็นการสร้างระบบสุขภาพที่เป็นธรรม และโปร่งใสขึ้น ประชาชนลดค่าใช้จ่ายด้านยาได้ ขณะเดียวกันโรงพยาบาลเอกชนที่เข้าร่วมก็ได้รับประโยชน์จากการที่มีผู้ใช้บริการมากขึ้น ส่วนโรงพยาบาลของรัฐเองก็จะลดความแออัดลง” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กล่าว
มาตรการทั้งหมดนี้ เป็นแผนเร่งด่วนที่กระทรวงพาณิชย์จะดำเนินการช่วง 4 เดือนข้างหน้า เพื่อแบ่งเบาภาระค่าครองชีพประชาชน และสร้างความมั่นคงให้ระบบเศรษฐกิจฐานราก ขณะเดียวกันเตรียมความพร้อมภาคการค้าส่งออกให้แข่งขันได้ในตลาดโลกอย่างยั่งยืน
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







