5 ธีมเศรษฐกิจโลกปี 2026 | Global Vision

5 ธีมเศรษฐกิจโลกปี 2026 | Global Vision

เศรษฐกิจโลกในปี 2026 กำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนที่ท้าทายอย่างยิ่ง โดยมีห้าธีมสำคัญที่จะกำหนดทิศทางเศรษฐกิจและการลงทุนในปีหน้า ซึ่งนักลงทุนและผู้บริหารต้องเตรียมรับมือให้พร้อม

1.เศรษฐกิจโลก: ปีแห่งสองครึ่ง (Year of Two Halves)

เศรษฐกิจโลกจะชะลอลงค่อนข้างแรงในครึ่งปีแรก ผลจากการค้าโลกที่น้อยลงหลังภาษีศุลกากรของสหรัฐมีผลบังคับใช้ ประกอบกับการเร่งส่งออกของประเทศกำลังพัฒนาไปยังสหรัฐในช่วงต้นปี อย่างไรก็ตาม ครึ่งปีหลังจะเริ่มเห็นแสงสว่าง เมื่อความชัดเจนของนโยบายการค้าเพิ่มขึ้น

ภาคเอกชนปรับตัวเสร็จสิ้น และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลต่างๆ เริ่มส่งผล โดยเฉพาะสหรัฐและยุโรปที่จะได้ประโยชน์จากการลดดอกเบี้ย การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานและการกระตุ้นทางการคลัง

ในส่วนของนโยบายการเงิน ดอกเบี้ยสหรัฐมีแนวโน้มที่จะลดในครึ่งแรกอีก 1-2 ครั้ง เพื่อรับมือกับตลาดแรงงานที่ชะลอลง แม้เงินเฟ้อจะยังสูงกว่าเป้าหมาย ขณะที่ธนาคารกลางทั่วโลกอาจลดดอกเบี้ยได้แต่ด้วยอัตราที่น้อยกว่า เนื่องจากได้เร่งลดมาแล้วในช่วงก่อนหน้า

แต่ในครึ่งปีหลัง ด้วยเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นในสหรัฐ ทำให้ธนาคารกลาง (Fed) ต้องคงดอกเบี้ย ทำให้เป็นไปได้สูงที่ดอลลาร์จะอ่อนค่าต่อเนื่องในช่วงครึ่งแรกของปี

2.วิกฤติการคลังโลก: ความเสี่ยงที่เพิ่มสูงขึ้น (Year of Fiscal Risk)

หากพิจารณาสถานการณ์การคลังทั่วโลก จะเห็นว่าความล้มเหลวในการสร้างวินัยการคลังผ่านการคุมการใช้จ่าย (fiscal consolidation) ของรัฐบาลทั่วโลก อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวพุ่งขึ้นทั่วโลก

ตั้งแต่หลังโควิด-19 อัตราผลตอบแทนพันธบัตร 30 ปีของประเทศพัฒนาแล้วเพิ่มขึ้น 300-500 bps โดยสหรัฐพุ่งจาก 1.2% เป็น 4.6%, อังกฤษจาก 0.5% เป็น 5.9%, เยอรมนีจาก -0.5% เป็น 3.4%, และญี่ปุ่นจาก 0.1% เป็น 3.1% 

ขณะที่ไทยกลับลดลงจาก 4.5% เป็น 2.1% จากเศรษฐกิจที่ซึมเซา (กรณีของไทยเริ่มเพิ่มขึ้นในระยะหลังหลังจากอดีตผู้ว่า ฯ ธปท. ระบุความเสี่ยงการคลัง และ Fitch ปรับลดแนวโน้มมุมมองเครดิตไทย)

สหรัฐเป็นจุดศูนย์กลางของความเสี่ยง โดยปัจจุบันขาดดุลงบประมาณ 2 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี (6.5% ของ GDP) และต้องจ่ายดอกเบี้ย 1 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี (20% ของรายได้รัฐบาล) ซึ่งสูงกว่าหลักเกณฑ์ปกติ 10-15% อย่างมีนัยสำคัญ รวมทั้ง One Big Beautiful Bill Act ที่อาจเพิ่มหนี้อีก 3-5 ล้านล้านดอลลาร์ในทศวรรษหน้า

ไตรมาส 2/2026 จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ต้องจับตาใกล้ชิด เพราะ (1) เงินเฟ้อสหรัฐจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากผลของภาษีศุลกากร คาดว่าจะแตะ 3-3.5% (2) ภาระรายจ่ายภาคการคลังจะยิ่งเพิ่มขึ้น และ (3) ประธาน Fed ปัจจุบัน Jerome Powell จะครบวาระในเดือนพฤษภาคม

ซึ่งหากเกิดปรากฏการณ์ “fiscal dominance” ที่รัฐบาลทรัมป์บังคับให้ประธาน Fed ท่านใหม่ทำนโยบายผ่อนคลายท่ามกลางเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น อาจนำไปสู่วิกฤติความเชื่อมั่นในเงินดอลลาร์และ Fed ได้

3.ภูมิรัฐศาสตร์: สงครามการค้าผลักดัน Global South ให้ใกล้ชิดกันมากขึ้น

การที่ทรัมป์ทำสงครามการค้ากับทุกประเทศ โดยเฉพาะกลุ่ม BRIC ทำให้เกิดการรวมตัวของ Global South มากขึ้น ทรัมป์ขึ้นภาษีอินเดีย 50%, บราซิล 50%, จีน 30% ส่งผลให้ประเทศเหล่านี้หันมาร่วมมือกันแทน

อินเดียเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจ แม้สหรัฐพยายามดึงมาเป็นพันธมิตรต่อต้านจีนมาหลายปี แต่การที่ทรัมป์ขึ้นภาษี 50% ด้วยข้อกล่าวหาว่าอินเดียซื้อน้ำมันจากรัสเซียที่ถูกคว่ำบาตร กลับผลักดันให้นิวเดลีและปักกิ่งปรับปรุงความสัมพันธ์ บ่งชี้ว่ายุทธศาสตร์ของสหรัฐกำลังล้มเหลว

อย่างไรก็ตาม สงครามร้อนยังไม่น่าจะเกิด แม้จะมีความตึงเครียด แต่ BRICS เองก็ไม่ได้เป็นกลุ่มที่สามัคคีกันจริง อินเดียและจีนยังมีข้อพิพาทชายแดน บราซิลและแอฟริกาใต้ต้องการรักษาสัมพันธ์กับสหรัฐ ขณะที่ UAE และอียิปต์ยังเป็นพันธมิตรทางความมั่นคงของสหรัฐ ความแตกต่างนี้ทำให้สหรัฐยังมีอำนาจต่อรองอยู่ แต่อาจต้องใช้กลยุทธ์การทูตที่ชาญฉลาดกว่านี้มาก

4.เทคโนโลยี AI: Wide Adoption และความต้องการพลังงานที่พุ่งสูง

AI กำลังก้าวเข้าสู่ยุคของ Wide Adoption คนทั่วไปเริ่มใช้ AI ในชีวิตประจำวันและการทำงานมากขึ้นอย่างรวดเร็ว จำนวนข้อความเกี่ยวกับงานบน ChatGPT เพิ่มขึ้นจาก 213 ล้านข้อความต่อวันในมิถุนายน 2024 เป็น 716 ล้านข้อความในมิถุนายน 2025 โดยการใช้งานในโหมด “automation” (ให้ AI ทำงานแทนโดยตรง) เริ่มมากกว่าโหมด “augmentation” (ใช้ AI เป็นผู้ช่วย) เป็นครั้งแรก

การใช้งาน AI อย่างกว้างขวาง ทำให้ความต้องการพลังงานพุ่งขึ้นอย่างมหาศาล Goldman Sachs คาดว่าความต้องการไฟฟ้าจาก data center ทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น 165% ภายในปี 2030 โดยในสหรัฐเพียงอย่างเดียว ความต้องการจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าภายในปี 2035 จาก 3.5% เป็น 8.6% ของความต้องการไฟฟ้าทั้งหมด

Data Center และ Smart Grid เป็นโอกาสการลงทุนใหม่ การที่ AI ใช้พลังงานสูง (ChatGPT ใช้ไฟฟ้า 2.9 watt-hours ต่อคำถาม เทียบกับ Google search ที่ใช้เพียง 0.3 watt-hours) ทำให้ต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน Goldman Sachs ประเมินว่าต้องใช้เงิน 7.2 แสนล้านดอลลาร์ลงทุนในระบบสายส่งไฟฟ้าภายในปี 2030 ขณะที่ยุโรปต้องใช้เงิน 8.0-8.5 แสนล้านยูโร

5.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ: La Niña และความแปรปรวนที่เพิ่มขึ้น

ปี 2026 มีความเสี่ยงสูงจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ โดยองค์การบริหารมหาสมุทรและบรรยากาศแห่งชาติสหรัฐ (NOAA) ระบุว่ามีโอกาส 71% ที่ปรากฏการณ์ La Niña จะเกิดขึ้นในช่วงตุลาคม-ธันวาคม 2025 และคงอยู่จนถึงต้นปี 2026 (โอกาส 54% ในช่วงธันวาคม 2025-กุมภาพันธ์ 2026)

ก่อนจะกลับสู่ภาวะ neutral ในช่วงกลางปี ซึ่ง La Niña จะนำมาซึ่งภัยพิบัติหลายรูปแบบ ทั้งอุทกภัย ภัยแล้ง และพายุไต้ฝุ่นและเฮอริเคนที่รุนแรงขึ้นทั่วโลก

ในภาพใหญ่ จุดเปลี่ยนทางภูมิอากาศใกล้เข้ามาแล้ว นักวิทยาศาสตร์เตือนว่าโลกกำลังเข้าใกล้ “tipping points” หลายจุด เช่น การสลายตัวของแผ่นน้ำแข็งกรีนแลนด์ที่อาจทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นกว่า 7 เมตร การพังทลายของป่าอเมซอนที่อาจปล่อยก๊ษซคาร์บอนหลายหมื่นล้านตัน

และการล่มสลายของ AMOC ที่จะทำให้ยุโรปหนาวจัดและแห้งแล้ง ภาพทั้งหมดบ่งชี้ว่า ความเสี่ยงภัยธรรมชาติจะรุนแรงมากขึ้นในปี 2026

ปี 2026 จะเป็นปีแห่งความท้าทายทางเศรษฐกิจโลกที่ต้องอาศัยการบริหารความเสี่ยง การปรับตัว และการกระจายการลงทุนอย่างยืดหยุ่น นักลงทุน นักธุรกิจและผู้กำหนดนโยบาย เตรียมพร้อมแล้วหรือยัง

บทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ไม่เกี่ยวข้องใด ๆ กับหน่วยงานที่ผู้เขียนสังกัด