กลไก Risk-Based Pricing (RBL) กับการเข้าถึงบริการทางการเงิน

กลไก Risk-Based Pricing (RBL) กับการเข้าถึงบริการทางการเงิน

เมื่อเร็วๆ นี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงการคลัง ผู้แทนภาคการเงินจากสมาคมธนาคารไทย และผู้ให้บริการสินเชื่อรายย่อย 3 แห่ง ได้ประชุมครั้งแรกร่วมกัน

เพื่อออกแบบกลไกการกำหนดอัตราดอกเบี้ยที่สมดุลกับความเสี่ยงของผู้กู้ (Risk-Based Pricing) ภายใต้โครงการ ‘Reinvent Thailand พลวัตใหม่เพื่ออนาคตเศรษฐกิจไทย’ โดยมีสาระสำคัญคือ กลไก Risk-Based Pricing (RBL) ที่อิงกับคะแนนเครดิตของลูกหนี้ ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ลูกหนี้ที่มีความเสี่ยงสูงซึ่งปัจจุบันมีการพึ่งพาหนี้นอกระบบอยู่ สามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้ในระบบได้ อีกทั้งจะเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างประวัติข้อมูลเครดิต ซึ่งจะช่วยให้ลูกหนี้ได้รับเงื่อนไขสินเชื่อที่ดีขึ้นในอนาคตตามพฤติกรรมการชำระหนี้ ขณะเดียวกันลูกหนี้ที่มีความเสี่ยงต่ำหรือมีประวัติการชำระหนี้ที่ดี ก็จะได้รับการเสนออัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงเช่นกันตามแนวทาง “เสี่ยงสูงกู้ได้ เสี่ยงต่ำกู้ถูกลง”

ในหลักการแล้ว ผู้เขียนเห็นด้วยกับ RBL ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการเข้าถึงบริการทางการเงินในระบบของผู้คนที่โดยปกติแล้วจะเข้าไม่ถึงบริการดังกล่าว อีกทั้งยังช่วยเสริมสร้างวัฒนธรรมการมีวินัยทางการเงิน ซึ่งเป็นกลไกที่จะช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจได้ อย่างไรก็ดี การนำ RBL มาใช้นั้น จะตัองมีการเตรียมความพร้อมในหลายด้าน และจำเป็นต้องพิจารณาถึงบริบทของไทยและจังหวะทางเศรษฐกิจที่เหมาะสม

เมื่อถอดบทเรียนจากการนำ RBL มาใช้ในประเทศต่างๆ จะพบว่า สิ่งที่สำคัญเป็นลำดับแรก ได้แก่โครงสร้างพื้นฐานของข้อมูลเครดิตกับคะแนนเครดิตที่เข้มแข็ง โดยจะต้องมีหน่วยงานที่เก็บรวบรวมประวัติด้านเครดิตและคะแนนเครดิตที่เชื่อถือได้และครอบคลุมเพียงพอจึงจะสามารถประมวลความเสี่ยงที่เหมาะสม และนำไปสู่ข้อเสนออัตราดอกเบี้ยที่เหมาะกับความเสี่ยงนั้นๆ ได้ สิ่งที่สำคัญประการต่อมาได้แก่กฎระเบียบที่เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด้านการดำรงเงินกองทุนและการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง เพื่อให้สถาบันการเงินสามารถใช้ RBL ได้จริง ตลอดจนกฎระเบียบด้านการคุ้มครองผู้บริโภค เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้บริโภคถูกกีดกันอย่างไม่เป็นธรรม

แน่นอนว่าการใช้ RBL มีข้อพึงระวังอยู่บ้าง เช่น กลุ่มที่มีความเปราะบางสูงอาจจะไม่สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินในระบบได้อยู่ดี เพราะมีความเสี่ยงสูงเกินกว่าที่ “กลไกราคา” จะจัดการได้ หรือ สถาบันการเงินที่ไม่มีธรรมาภิบาลอาจพยายามขายสินเชื่ออย่างไม่เป็นธรรม ทำให้ผู้กู้ที่ลำบากอยู่แล้วยิ่งประสบปัญหาชีวิตหนักเข้าไปอีก แต่ขัอพึงระวังเหล่านี้ไม่ใช่ของใหม่ ประเทศต่างๆ ที่ใช้ RBL ได้มีการปรับใช้มาตรการต่าง ๆ เพื่อจัดการกับข้อพึงระวังเหล่านี้มาแล้วมากมาย

สหรัฐอเมริกา ใช้ RBL มาตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1980 ถึงแม้ว่าจะมีระบบคะแนนเครดิตที่เข้มแข็งมาก แต่ก็พบว่าในหลายกรณีสถาบันการเงินใช้ปัจจัยอื่นที่ไม่เหมาะสมนักในการพิจารณาความเสี่ยง เช่น การพิจารณาสินเชื่อโดยนำเอาปัจจัยด้านเชื้อชาติ และสถานะทางเศรษฐกิจและสังคม มาเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการพิจารณาสินเชื่อและอัตราดอกเบี้ย ในสหราชอาณาจักร พบปัญหาการคุ้มครองผู้บริโภคที่เข้มข้นเกินไป ทำให้สถาบันการเงินไม่สามารถใช้อัตราดอกเบี้ยที่สะท้อนความเสี่ยงได้อย่างแท้จริง ผู้ให้บริการทางการเงินจึงหันไปแข่งขันด้วยปัจจัยอื่นเพิ่มเติม เช่น การเก็บแต้มแลกของรางวัลและส่วนลดต่าง ๆ หรือในหลายประเทศที่ไมโครไฟแนนซ์และฟินเทคมีบทบาทสูง อาทิ เคนยา และ อินเดีย มีการใช้ข้อมูลทางเลือกมาพัฒนาเป็นคะแนนเครดิตรูปแบบต่าง ๆ โดยมุ่งหวังให้เกิดการเข้าถึงสินเชื่อในวงกว้าง แต่สุดท้าย กลับกลายเป็นสร้างความเสี่ยงและความยากลำบากให้กับผู้กู้ เพราะข้อมูลทางเลือก ไม่สามารถสะท้อนความเสี่ยงที่แท้จริง และทำให้เกิดการก่อหนี้เกินศักยภาพ

กรณีศึกษาที่น่าสนใจจากประเทศบราซิล ซึ่งมีระบบข้อมูลเครดิตกลางที่เป็นของรัฐ (แต่เดิมจัดเก็บเฉพาะข้อมูลค้างชำระสินเชื่อ ต่อมาในปี 2011 เริ่มมีการกำหนดให้ต้องนำส่งประวัติการชำระสินเชื่อที่ชำระตรงเวลาด้วย) ส่วนการจัดทำคะแนนเครดิต เปิดให้มีหลายหน่วยงานสามารถทำได้ จึงมีหลากหลายคะแนนเครดิต ทำให้การใช้ RBL มีความซับซ้อนและกลายเป็นการปิดโอกาสของผู้คน ถึงแม้ว่าอัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อบางประเภทของบราซิลจะสูงเป็นลำดับต้น ๆ ของโลกก็ตาม อีกตัวอย่างหนึ่งคือ กลุ่มประเทศอียู ซึ่งมีความหลากหลายในระดับประเทศ ในภาพรวม อียู บังคับใช้ RBL ทางอ้อมผ่านกฎหมายหลายฉบับ แต่ความมีประสิทธิภาพของระบบจัดการข้อมูลและคะแนนเครดิตในแต่ละประเทศไม่เท่ากัน ประเทศที่ระบบข้อมูลเครดิตเข้มแข็งและครอบคลุม สามารถใช้ RBL ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และผู้บริโภคได้รับประโยชน์อย่างมาก แต่ในประเทศที่ฐานข้อมูลเครดิตไม่ครอบคลุมเพียงพอ มักมีกฎระเบียบที่ไม่ได้ปล่อยให้มีการใช้ RBL อย่างเสรีเท่าใดนัก เช่น มีการกำหนดเพดานอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่จะเรียกเก็บได้ หรือมีผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่ไม่หลากหลาย เป็นต้น

จากประสบการณ์ของประเทศต่างๆ ทำให้ได้ข้อสรุปสำคัญอย่างหนึ่ง คือ โครงสร้างพื้นฐานด้านการบริหารจัดการข้อมูลเครดิตมีความสำคัญอย่างมากต่อการใช้ RBL ให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ที่ต้องการสินเชื่ออย่างแท้จริง โดยจะต้องมีประวัติของการชำระสินเชื่อที่ครบถ้วน ทั้งชำระตรงเวลาและค้างชำระ ครอบคลุมฐานข้อมูลผู้บริโภคทางการเงินที่มากพอ นอกจากนี้ จะต้องมีสภาพแวดล้อมทางกฎระเบียบที่เหมาะสม เพื่อให้สถาบันการเงินสามารถบริหารความเสี่ยงได้อย่างแท้จริง ในขณะเดียวกันจะต้องมีกฎระเบียบด้านการคุ้มครองผู้บริโภคที่สมดุลกัน

ผู้เขียนเห็นว่าประเทศไทย มีโครงสร้างพื้นฐานด้านการบริหารจัดการข้อมูลเครดิตที่เป็นจุดตั้งต้นที่ดี หากจะสามารถเข้าถึงฐานข้อมูลที่ครอบคลุมครบถ้วนและละเอียดมากขึ้น มีสภาพแวดล้อมทางกฎหมายที่เอื้ออำนวยและทันสมัยมากขึ้น ตลอดจนความสามารถในการใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีศักยภาพ ก็จะยิ่งสามารถพัฒนาการบริหารจัดการข้อมูล รายงานและคะแนนเครดิตที่มีความแม่นยำสำหรับการใช้ RBL อีกประเด็นที่ละเลยไม่ได้ คือการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจและวัฒนธรรมด้านเครดิตและสินเชื่อ โดยเฉพาะความเข้าใจอย่างถูกต้องว่าประวัติและคะแนนเครดิต คือ ประตูสู่โอกาส ที่ควรหวงแหนและรักษา