‘คลัง’ ย้ำเดินหน้านโยบายเศรษฐกิจ ชูธงวินัยการคลัง เร่งฟื้นเชื่อมั่น

กระทรวงการคลังจะเร่งฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักลงทุน โดยเตรียมทบทวนแผนการคลังระยะปานกลาง (MTFF) ในเดือนพ.ย.นี้
KEY
POINTS
- กระทรวงการคลังจะเร่งฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักลงทุน โดยเตรียมทบทวนแผนการคลังระยะปานกลาง (MTFF) ในเดือนพ.ย.นี้
- การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจทั้งหมดจะอยู่ภายใต้กรอบของ พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลัง พ.ศ. 2561 อย่างเคร่งครัด เพื่อสร้างเสถียรภาพระยะยาว
- คลังเร่งเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีในส่วนที่สามารถทำได้โดยไม่ต้องแก้กฎหมาย เช่น การพิจารณาปรับปรุงพิกัดสินค้าบางรายการ
สิ่งแรกที่รัฐบาลใหม่มุ่งเน้นคือนโยบายที่ช่วยประชาชนอย่างทันท่วงที แต่ "กติกาใหญ่" ที่กำหนดขอบเขตการใช้จ่ายของรัฐและมักถูกมองข้ามไป คือ พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ภารกิจสำคัญในฐานะรองนายกฯ ด้านเศรษฐกิจ คือ การเตรียมทบทวนแผนการคลังระยะปานกลาง (MTFF) ในช่วงเดือนพ.ย.นี้ โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักลงทุนและสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ
นายเอกนิติ เน้นย้ำว่า การดำเนินนโยบายของรัฐบาลจะตั้งอยู่บนหลักการของการมีธรรมาภิบาลและวินัยทางการคลังอย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับความโปร่งใส ด้วยการเปิดเผยข้อมูลทุกนโยบายที่ดำเนินการอย่างชัดเจน โดยระบุถึงผลประโยชน์ที่ประชาชนได้รับและต้นทุนทางการคลังที่ประเทศต้องจ่าย
ด้านการบริหารงบประมาณ นายเอกนิติ กล่าวว่า รัฐบาลจะเริ่มใช้งบประมาณภายใต้พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายปี 2569 ที่ได้ผ่านการพิจารณาของสภาฯ ไปแล้ว โดยมีการวางรากฐานและกำหนดทิศทางด้านรายจ่ายให้สอดคล้องกับกรอบวินัยการคลัง
ขณะเดียวกัน ในมิติของการจัดการรายได้ แม้ในระหว่างการทำงานของรัฐบาลจะยังไม่สามารถแก้ไขกฎหมายระดับพระราชบัญญัติได้ แต่ก็จะมีการดำเนินการในส่วนที่สามารถทำได้โดยไม่ต้องแก้กฎหมาย ซึ่งเบื้องต้น กรมสรรพากร กรมสรรพสามิต และกรมธนารักษ์ ได้เตรียมการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้ทั้งหมดแล้ว อาทิ การพิจารณาดำเนินการกับแนวคิดที่เคยมีการศึกษาไว้ เช่น การจัดการ พิกัดสินค้าบางตัว ที่ยังไม่เต็มเพดาน หรือการปรับปรุงประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีต่างๆ
นายวรภัค ธันยาวงษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ถือเป็นเข็มทิศสำคัญที่กำกับให้การใช้จ่ายงบประมาณของรัฐบาลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ป้องกันไม่ให้นโยบายประชานิยมระยะสั้นเข้ามาทำลายเสถียรภาพทางการคลังของประเทศในระยะยาว ซึ่งการวางกรอบการคลังที่ชัดเจนนี้จะช่วยสร้างความมั่นคงให้แก่เศรษฐกิจโดยรวม
นายวรภัค เน้นย้ำว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการดำเนินนโยบายภายใต้กรอบของ พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ โดยมีหัวใจสำคัญดังนี้
“การคลังของประเทศจะเดินหน้าได้อย่างมั่นคง ต้องไม่หลุดกรอบไปตามแรงกดดันทางการเมือง”
นายวรภัค กล่าวต่อว่า ครม. เศรษฐกิจให้ความสำคัญ การดำเนินนโยบายภายใต้กรอบของ พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลัง ได้แก่
1.แผนการคลังระยะปานกลาง (Medium-Term Fiscal Plan) ถือเป็นแผนแม่บทที่ทุกหน่วยงานต้องยึดเป็นแนวทางในการจัดทำงบประมาณ การทบทวนแผนดังกล่าวจึงเป็นภารกิจแรกๆ เพื่อให้ทิศทางการคลังของประเทศมีความต่อเนื่องและไม่บิดเบือน
2.การตั้งงบประมาณ สำหรับการเตรียมการงบประมาณปี 2569 จะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดไว้อย่างเคร่งครัด เช่น งบลงทุน ต้องไม่ต่ำกว่า 20% ของงบประมาณทั้งหมดและต้องไม่ต่ำกว่าวงเงินขาดดุลงบประมาณ ขณะที่ งบกลาง จะต้องตั้งไว้สำหรับกรณีฉุกเฉินและจำเป็นจริงๆ ไม่ใช่เพื่อเป็นงบสำรองตามความสะดวก
3.โครงการผูกพันงบประมาณ ทุกโครงการที่สร้างภาระผูกพันต่องบประมาณในอนาคต จะต้องมีการคำนวณภาระหนี้ รายจ่าย และชี้แจงแหล่งเงินทุนอย่างชัดเจน เพื่อไม่ให้กลายเป็น "ระเบิดเวลา" ทางการคลังในภายภาคหน้า
4.การบริหารหนี้สาธารณะ ต้องบริหารจัดการหนี้ให้อยู่ภายใต้กรอบที่กำหนด เช่น สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP หากมีแนวโน้มจะทะลุกรอบ จะต้องมีการรายงานและเสนอแนวทางแก้ไขต่อคณะรัฐมนตรีโดยทันที
นายวรภัค กล่าวว่า การเมืองมักถูกท้าทายด้วยความเร่งด่วน ต้องเร่งแก้ปัญหาปากท้อง ต้องเร่งอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบ ดังนั้นการตัดสินใจด้านงบประมาณเปรียบเสมือนการเดินบนสะพานเชือกที่ต้องรักษาสมดุลระหว่างการแก้ปัญหาเร่งด่วนของประชาชน กับความเชื่อมั่นของตลาดการเงินและความมั่นคงของประเทศในระยะยาว
ทั้งนี้ พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลัง จึงไม่ใช่ข้อจำกัด แต่เป็นราวจับที่ช่วยให้รัฐบาลก้าวเดินได้อย่างมั่นคง และเป็น "กรอบป้องกัน" ที่ทำให้การบริหารการคลังอยู่บนเส้นทางที่ยั่งยืน เพื่อให้ทุกนโยบายสามารถตอบโจทย์ทั้งระยะสั้นในการช่วยเหลือประชาชน และระยะยาวในการรักษาเสถียรภาพของประเทศไปพร้อมกัน







