3 สมาคมเหล็ก ยื่นหนังสือถึง 'ธนกร' รมว.อุตฯ ทบทวนมาตรฐานเหล็กเส้น

3 สมาคมเหล็ก ยื่นหนังสือถึง 'ธนกร' รมว.อุตฯ ทบทวนมาตรฐานเหล็กเส้น

3 สมาคมผู้ผลิตเหล็ก พร้อมยื่นข้อเสนอ "ธนกร" รมว.อุตสาหกรรม ทบทวนมาตรฐานผลิตภัณฑ์เหล็กเส้นเพื่อความปลอดภัย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2568 นายประวิทย์ หอรุ่งเรือง สมาคมผู้ผลิตเหล็กทรงยาวด้วยเตาอาร์คไฟฟ้า นายบัณฑูรย์ จุ้ยเจริญ สมาคมเหล็กแผ่นรีดร้อนไทย และ นายเภา บุญเยี่ยม สมาคมผู้ผลิตเหล็กโครงสร้างรูปพรรณรีดร้อน ทำหนังสือถึง นายธนกร วังบุญคงชนะ รมว.อุตสาหกรรม เรื่อง ข้อเสนอแนะการทบทวนปรับปรุงมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กเส้น ระบุว่า

กลุ่มอุตสาหกรรมเหล็กให้ความสำคัญสูงสุดคือ มาตรฐานคุณภาพของผลิตภัณฑ์เหล็กเส้น เนื่องจากเป็นสินค้าที่มีความสำคัญต่อความปลอดภัยของชีวิต และทรัพย์สินของประชาชน การกำหนดมาตรฐานคุณภาพเหล็กเส้น จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับความมั่นคงแข็งแรงของสิ่งก่อสร้างต่างๆ รวมถึงมาตรการควบคุมการผลิตเหล็กเส้นให้เป็นไปตามมาตรฐานเพื่อความปลอดภัยในการใช้งาน

ปัจจุบันมีการผลิตเหล็กเส้นก่อสร้างในประเทศประมาณปีละ 3 ล้านตัน ตัวอย่างในปี 2567 มีการผลิตจากการหลอมเศษเหล็กแล้วหล่อเป็นแท่งบิลเล็ตด้วยเตา Electic Arc Fumace (EAF) ประมาณ 1.2 ล้านตัน ผลิตด้วยเตา Induction Furnace (IF) ประมาณ 1.6 ล้านตัน และนำเข้าบิลเล็ตมารีดเป็นเหล็กเส้นอีกประมาณ 0.3 ล้านตัน

ในช่วงเวลาที่ผ่านมาเกิดประเด็นปัญหาคุณภาพกับเหล็กเส้นที่ผลิตจากเตา IF เนื่องจากการที่จะผลิตเหล็กเส้นให้ได้มาตรฐานด้วยกระบวนการ IF ต้องใช้ความพิถีพิถันอย่างมากในการคัดเลือกวัตถุดิบเศษเหล็กที่มีความสะอาด ไม่มีสารมลทิน และสิ่งเจือปนที่มากเกินไป

เนื่องจากข้อจำกัดของ IF ในการกำจัดสารมลทิน เช่น ฟอสฟอรัส กำมะถัน ตลอดจนธาตุที่ต้องควบคุมปริมาณให้ได้ตาม มอก. เช่น ธาตุโบรอน เป็นต้น นอกจากนี้เนื่องจากส่วนประกอบทางเคมีจะเป็นปัจจัยหลักต่อคุณสมบัติทางกล หากไม่สามารถควบคุมส่วนประกอบทางเคมีให้สม่ำเสมอตามค่าที่เหมาะสม ก็จะส่งผลให้ตกมาตรฐานคุณสมบัติทางกลได้ สิ่งที่เหมือนกันอย่างหนึ่งในกระบวนการถลุงเหล็ก (smelting) จากแร่เหล็กในขั้นตอน Basic Oxygen Furmace (BOF) กับกระบวนการ EAF คือ การใช้ออกซิเจนเป่าไล่สารมลทินที่จับตัวกับออกซิเจนได้ เช่น ฟอสฟอรัส สำหรับกระบวนการ EAF นั้น นอกเหนือจากการใช้ออกซิเจนในการหลอมเหล็ก ยังมีการสร้างชั้นของ สแลก (slag) หลอมเหลวสำหรับดูดซับสารมลทิน เช่น ฟอสฟอรัส และกำมะถัน สิ่งสกปรก และสิ่งเจือปน(Inclusions) ต่างๆ การเป่าออกซิเจนจะช่วยสร้างสภาพการกวนวน (Agtaton) ในน้ำเหล็กอย่างทั่วถึง ทำให้สามารถปรุงแต่ง และควบคุมองค์ประกอบทางเคมี รวมถึงความสะอาดสม่ำเสมอของเหล็กได้อย่างมีประสิทธิภาพสำหรับ IF เป็นกระบวนการหลอม (meIting) ด้วยการเหนี่ยวนำทางไฟฟ้าเท่านั้น ไม่มีการใช้ออกซิเจน ไม่มีการสร้างชั้นของสแลก จึงไม่สามารถกำจัดหรือดูดซับสารมลทิน ที่อยู่ในเศษเหล็ก และวัตถุดิบ เช่น ฟอสฟอรัส กำมะถัน และธาตุอื่น ที่เจือปนอยู่ในเศษเหล็ก เช่น โบรอน เป็นต้น

จึงต้องคัดเลือกเศษเหล็กที่ใช้เป็นวัตถุดิบอย่างพิถีพิถัน และเตรียมเศษเหล็กที่สะอาด และต้องมีการเติมส่วนผสมทางเคมีด้วยธาตุต่างๆ ลงไปในกระบวนการหลอมอย่างแม่นยำ เพื่อที่จะหลอมเหล็กหรือโลหะให้เป็นไปตามข้อกำหนด จึงเหมาะกับใช้กับงานเหล็กหล่อ เหล็กพิเศษ เหล็กกล้าไร้สนิม และโลหะที่ไม่ใช่เหล็ก เช่น ทองแดง ทองเหลือง อะลูมิเนียม และด้วยลักษณะการหลอมแบบเหนี่ยวนำด้วยไฟฟ้าที่มีการกวนวน (Agitation)ต่ำ ทำให้ควบคุมความสม่ำเสมอของเนื้อเหล็กได้ยาก จึงต้องจำกัดปริมาณการผลิตต่อครั้งไว้ โดยมักไม่เกิน 30 ตัน และจะต้องมีกระบวนการปรับปรุงคุณภาพน้ำเหล็กในเตาปรุง เช่น Ladie Furnace (LF) อีกขั้นตอนหนึ่ง

ทั้งนี้ ประเทศไทยขาดวัตถุดิบจากการถลุงเหล็ก และขาดแคลนเศษเหล็กโดยเฉพาะอย่างยิ่งเศษเหล็กคุณภาพดี จึงต้องนำเข้าเศษเหล็กประมาณ 20-25% หรือ 1.2-1.5 ล้านตันต่อปี จากความต้องการทั้งหมด 6 ล้านตันต่อปี ดังนั้นการคัดเลือกเศษเหล็กคุณภาพดี ทั้งในทางปฏิบัติ และความคุ้มค่าทางธุรกิจจึงเป็นไปได้ยากมาก

อนึ่ง ประเทศจีนซึ่งเคยมีการผลิตเหล็กเส้นด้วยกระบวนการ IF มากที่สุดในโลก คือ ปีละกว่า 120 ล้านตัน ได้ประสบปัญหาอย่างยาวนานกับเหล็กเส้นคุณภาพต่ำกว่ามาตรฐานจากเตา IF จนในที่สุดรัฐบาลจีนได้สั่งยกเลิกการผลิตเหล็กเส้นก่อสร้างด้วยเตา IF ทั้งหมดของประเทศจีนในเดือนมิถุนายน 2560 (2017)  แม้ว่าในประเทศไทยมีการแก้ไข มอก. ให้เพิ่มกรรมวิธี IF ดังกล่าวข้างต้นในปี 2559 (หรือประมาณ 1 ปีก่อนที่ประเทศจีน จะยกเลิกการผลิตเหล็กเส้นด้วยกระบวนการ IF ในปี 2560) ผู้เกี่ยวข้องจำเป็นต้องทราบ และศึกษาสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศจีนที่นำไปสู่พัฒนาการยกระดับมาตรฐานคุณภาพเหล็กเส้นของประเทศจีน เพื่อนำข้อดีมาเป็นแบบอย่างในการปรับปรุง มอก. เหล็กเส้นของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 จึงต้องพิจารณาว่ามีสิ่งใดที่มาตรฐานเหล็กเส้นไทยต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลง เช่นเดียวกับที่ประเทศจีนได้ยกเลิกการผลิตด้วย IF โดยกำหนดกระบวนการผลิตให้มีเฉพาะ BOF และ EAF ทั้งยังกำหนดมาตรฐานเหล็กความแข็งแรงสูง สำหรับใช้งานในเขตแผ่นดินไหวขึ้นในมาตรฐานเหล็กเส้นจีนฉบับล่าสุดในปี 2024 (2567)

เนื่องจากร่าง มอก.เหล็กเส้นก่อสร้าง อยู่ระหว่างการทบทวน จึงควรใช้โอกาสนี้ปรับปรุงให้สมบูรณ์ เพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่พบอยู่ในปัจจุบัน และป้องกันปัญหาในอนาคต เช่น กำหนดคุณสมบัติของเหล็กเส้นให้มีความครอบคลุมเพียงพอที่จะตอบสนองกฎหมายอื่น เช่น มาตรฐานการออกแบบอาคารด้านการสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว ของกรมโยธาธิการ และผังเมือง กระทรวงมหาดไทย พ.ศ.2564 รวมทั้งพิจารณากำหนดกระบวนการผลิตให้มีเฉพาะ BOFและ EAF เช่นเดียวกับแนวทางการยกระดับมาตรฐานคุณภาพเหล็กเส้นของประเทศจีน และประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ

เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของผู้บริโภค กรณีโรงงานที่ถูกสั่งปิด เนื่องจากผลิตสินค้าที่ไม่เป็นไปตาม มอก. ให้มีการตรวจสอบอย่างเข้มงวดว่ามีกระบวนการผลิตที่เป็นไปตามข้อกำหนด มอก. โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำ และส่วนประกอบทางเคมี อย่างเคร่งครัดทุกข้อ เช่น 5.2 (3) มีกระบวนการทำน้ำเหล็กให้บริสุทธิ์ (refining process) อย่างเหมาะสม เช่น มีเตาปรุง (ladle furnace) เป็นต้น ก่อนการอนุญาตเปิดดำเนินการ

 

 


พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์