สภาอุตฯ แนะไทย ดึง FDI ลงทุนไบโอเทค AI นวัตกรรม เดินหน้าสู่เศรษฐกิจยั่งยืน

‘วิวรรธน์’ รองประธาน ส.อ.ท. แนะ เร่งกระจายตลาดส่งออก ลดเสี่ยงจากภาษีทรัมป์ ระบุ การเมืองนิ่ง ต่างชาติมั่นใจลงทุนไทย ชี้ ไทยมีความหลากหลายทางชีวภาพ เเร่งดึงลงทุนต่างชาติในไบโอเทค–AI–นวัตกรรม เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมไทย เดินหน้าสู่เศรษฐกิจยั่งยืน
นายวิวรรธน์ เหมเมฑารพ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวในงาน Sustainability Expo 2025 A Call for Adaptation The Sustainability in Trade & Industry หัวข้อ “ผนึกพลังทางการค้า เปลี่ยนความท้าทายสู้โอกาส” จัดโดยกรุงเทพธุรกิจ ร่วมกับ Sustainability Expo 2025 หรือ SX ว่า จากการหารือกับคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) คาดการณ์ว่า GDP จะมีแนวโน้มลดลงในครึ่งปีหลัง จากกำลังซื้อ หนี้สาธารณะ ซึ่งจำเป็นต้องหาทางเพิ่มกำลังซื้อของคนในประเทศให้มากขึ้น ในประเทศ ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจหมุนเวียน ซึ่งวันนี้การเมืองมั่นคง เสถียรภาพดี ต่างชาติก็มั่นใจ เข้ามาลงทุน
ปัจจุบันสัดส่วนการส่งออกของไทยกว่า 60% พึ่งพาตลาดยุโรป จีน สหรัฐฯ และอาเซียน ซึ่งกระจุกเกินไป จึงจำเป็นต้องหาตลาดใหม่เพื่อการกระจายสินค้า ตามแนวคิด “มาร์เก็ตยูนิเวอร์ซิตี้” ของนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ โดยยังคงเน้นสินค้าเดิมแต่ขยายฐานลูกค้า เพื่อลดการพึ่งพิงตลาดเดิม เนื่องจากกำลังซื้อในประเทศยังฟื้นตัวไม่เร็ว แต่เศรษฐกิจโลกยังคงเติบโตได้ดีไม่ได้เลวร้ายมากนัก
ทั้งนี้ต้องมาดูว่าคุณภาพสินค้าเราสู้ได้ไหม ต้นทุนสู้ได้หรือเปล่า การแข่งขันต่างประเทศต้องพิจารณา 4P’s (Product, Price, Place, Promotion) ปัจจุบันสินค้าไทยมีคุณภาพที่แข่งขันได้ แต่ต้องเข้าใจตลาดเป้าหมาย เช่น สินค้าอาหารกลุ่มฮาลาล หรือสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุน และลดการใช้พลังงาน รวมถึงการพัฒนาเรื่อง 0.4 จะเป็นกุญแจสำคัญในการแข่งขัน
นายวิวรรธน์ กล่าวว่า วันนี้เจรจาเอฟทีเอได้เร็ว เพราะแรงกดดันจากภาษีทรัมป์ในหลายภูมิภาค ก็ทำให้เกิดการเจรจาการค้า การทำเอฟทีเอเร็วและมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นยุโรป ญี่ปุ่น เพื่อลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐที่เป็นตลาดใหญ่ ซึ่งช่วงครึ่งปีหลัง รัฐบาลมีกลไก 4+4 ที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น การเพิ่มปริมาณเงินเข้าสู่ระบบ การแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน การเพิ่มกำลังซื้อ การเปิดตลาดใหม่ และการเพิ่มประสิทธิภาพของภาคเอกชน จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
สำหรับการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในภาคดิจิทัล เช่น ดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นระบบนิเวศน์ที่ช่วยให้อุตสาหกรรมมีความมั่นคง และคาดว่าจะส่งผลให้ต้นทุนดาต้าลดลง แต่ดาต้าเซ็นเตอร์ มีข้อเสียคือ ใช้พลังงานมากทำให้เกิดความร้อน จึงต้องใช้น้ำมากขึ้น ปัจจุบันประเทศสิงคโปร์เลิกลงทุน เพราะมีน้ำไม่พอ แต่ประเทศไทยมีน้ำพอในการหล่อเลี้ยงดาต้าเซ็นเตอร์ ดังนั้นต้องบริหารจัดการน้ำให้ดี ทั้งน้ำในอุตสาหกรรมและน้ำในเกษตรกรรม เพื่อให้เกิดความสมดุล อย่างไรก็ตามดาต้าเซ็นเตอร์ ยังไม่ก่อให้เกิดการพัฒนาเชิงลึกในไทยมากนัก
ปัจจุบันนักลงทุนบางส่วนย้ายฐานการผลิตจากไทยไปยังอินโดนีเซียและเวียดนาม เนื่องจากไทยกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัย แรงงานน้อย และมีต้นทุนการผลิตสูง เช่น ค่าแรงและค่าไฟฟ้า ประเทศไทยต้องปรับตัวให้แตกต่างและดึงดูดนักลงทุนด้วยนวัตกรรม โดยการสร้างบุคลากรที่มีความรู้ด้าน AI และไบโอเทคโนโลยี จึงอยากเสนอ 3 ประเด็นให้ภาครัฐดำเนินการทำได้แก่ 1.ไบโอเทคโนโลยี 2.AI (ปัญญาประดิษฐ์) 3.Sustainability (ความยั่งยืน) โดยใช้ GDP เป็นตัวชี้วัดและสนับสนุนงบประมาณเพื่อการดำเนินงาน พร้อมส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน
นอกจากนี้ โครงสร้าง GDP ของไทยปัจจุบัน การค้า การท่องเที่ยว และการเงิน คิดเป็น 62% อุตสาหกรรม 30% และเกษตรกรรม 8% แต่มีประชากรกว่า 50% ทำอาชีพเกษตรกรรม การส่งออกของไทย 60% และการท่องเที่ยว 15% รวม 75% พึ่งพาตลาดต่างประเทศ แต่ส่วนใหญ่เป็นสินค้าจากบริษัทต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในรูปแบบ OEM
“ หากไทยต้องการเติบโตอย่างยั่งยืน ต้องสร้างสินค้าที่มีมูลค่า โดยเฉพาะการใช้ความหลากหลายทางชีวภาพ การลดคาร์บอน และการปลูกป่าให้มากขึ้น “ไบโอคือหัวใจมูลค่าสูงสุด” โดยยาเป็นกลุ่มที่มีมูลค่าสูงสุด รองลงมาคือเครื่องสำอาง อาหารเพื่อสุขภาพ อาหารทั่วไป และพลังงาน“ ดังนั้นการดึง FDI ที่ดีที่สุดควรเน้นความหลากหลายทางชีวภาพ ต้องเชิญชวนนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในสินค้าที่มีนวัตกรรม ไม่พึ่งพาแรงงาน และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเกษตรกร ซึ่งต้องทำควบคู่กันเพื่อให้เกิดความยั่งยืน”นายวิวรรธน์ กล่าว
ทั้งนี้ ภาคเกษตรกรรมควรนำเทคโนโลยี Smart Farming และ Digital Technology มาใช้ ปัจจุบันมีโครงการจำนวนมากทั้งภาครัฐและเอกชน ส.อ.ท. ได้จัดตั้งแพลตฟอร์ม Innovation One (INNOVATION ONE) ที่มีแนวคิด Build, Buy, Borrow เพื่อดึงนวัตกรรมและพาร์ทเนอร์จากต่างชาติ เช่น นอร์เวย์ สวีเดน เดนมาร์ก เนเธอร์แลนด์ ญี่ปุ่น จีน เกาหลี นอกจากนี้ ส.อ.ท. ร่วมกับ ม.มหิดล พัฒนาแพลตฟอร์มโครงการ “SAI” (Smart Agriculture Industry) ที่จะเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกร ผู้แปรรูป อุตสาหกรรมอาหารเสริม และผู้บริโภค







