หอการค้าไทย มอง ภาษีทรัมป์ สร้างจุดเปลี่ยนเจรจาเอฟทีเอเสร้างโอกาสทางการค้า

หอการค้าไทย ชี้ เศรษฐกิจโลกขาลงจากปัญหารอบด้าน มอง ภาษีทรัมป์ โอกาสใหม่ เจรจาเอฟทีเอ เสร็จเร็ว สร้างโอกาสทางการค้าให้กับหลายประเทศ แนะเร่งเปิดตลาดใหม่ กระจายความเสี่ยง พร้อมดูแลเอสเอ็มอีแข่งขันในเวทีโลก
นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานหอการค้าไทย กล่าวในเวทีสัมมนา “Sustainability Expo 2025 (SX 2025) A Call for Adaptation: The Sustainability in Trade & Industry” ที่จัดโดยน.ส.พ.กรุงเทพธุรกิจ ในหัวข้อ ผนึกกำลังทางการค้า เปลี่ยนความท้าทายสู่โอกาสว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจโลกอยู่ในช่วงขาลงจากความกดดันต่างๆทั้งความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ของประเทศมหาอำนาจ สงครามการค้า ล่าสุดภาษีทรัมป์ ไทยหนีไม่พ้นที่จะเจอผลกระทบ โดยเฉพาะตลาดสหรัฐ ที่เริ่มมีความชัดเจนในในเรื่องผลกระทบจากการส่งออกไปตลาดสหรัฐ แข่งขันยากขึ้น ทำให้เราต้องมองถึงตลาดใหม่ ซึ่งคำว่าตลาดใหม่อาจไม่ใช่ตลาดใหม่จริงๆเพราะกว่าที่เราจะไปตลาดใหม่ได้ก็ต้องใช้เวลา และยังต้องเจออะไรอีกหลายเรื่อง สินค้าอะไรที่เราจะส่งออก
รวมทั้งการเจรจาความตกลงการค้าเสรีหรือเอฟทีเอที่เราจะต้องทำกับตลาดใหม่ ดังนั้นเรายังต้องยึดตลาดเก่าอยู่ ไม่ว่าจะเป็นตลาดยุโรป เอเชีย อาเซียน ที่เป็นตลาดหลักของไทย
นายวิศิษฐ์ กล่าวว่า ภาษีทรัมป์ แม้จะส่งผลกระทบกับทั่วโลกแต่อีกด้านก็เป็นแรงส่งให้ประเทศต่างๆเร่งการทำเอฟทีเอ โดยเฉพาะสหภาพยุโรป (อียู) ที่เศรษฐกิจไม่ดี ซึ่งไทยกำลังเจรจาเอฟทีเอกับอียู คาดว่าน่าจะปิดดีลได้เร็วนี้ จากที่เคยเจรจาในประเด็นต่างที่ยากก็กลับมาง่ายและเร็วขึ้น เช่น อียู เน้นเรื่อง Sustainability กว่าจะเจรจาจบได้ แต่ปัจจุบันลดน้ำหนักเรื่องนี้ไปมากทำให้การเจรจาเร็วขึ้น
“ในภาวะแบบนี้ทั่วโลกถูกแรงกดดันจากสหรัฐ แต่หากมองอีกด้านก็เป็นช่วงจังหวะที่ดีในการเจรจาเอฟทีเอกับหลายๆประเทศ เพื่อความร่วมมือทางการค้า ลดผลกระทบจากภาษีทรัมป์”นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา กล่าว
นายวิศิษฐ์ กล่าวว่า นอกจากภาษีทรัมป์ที่กดดันเศรษฐกิจไทย ค่าเงินบาทก็เป็นแข็งค่ามาก ซึ่งจำเป็นต้องต้นหาสาเหตุของการแข็งค่า เพราะถือเป็นจุดอ่อนการส่งออกของไทย ซึ่งเราส่งออก 60 % ความสามารถในแข่งขันมีความจำเป็นไม่ใช่แค่เราผลิตเก่ง เท่านั้นแต่เราต้องมีเรื่องของราคาที่จะต้องแข่งขันกับคู่แข่งได้ด้วย เพราะปัจจุบันสินค้าประเภทเดียวกันเริ่มมีคู่แข่งมากขึ้นผลิตออกมาขายเพื่อแข่งกับสินค้าไทย ดังนั้นสิ่งที่เราต้องคือ เร่งปรับเปลี่ยนเพื่อเพิ่มโอกาสสินค้าไทยในตลาดมากขึ้น ทั้งเรื่องของการเพิ่มมูลค่าสินค้า นวัตกรรม แพ็คจิ้ง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปหรือการผลิตสินค้าเพื่อตอบโจทย์สุขภาพ ตอบโจทย์สังคมผู้สูงวัย เช่น อาหารเพื่อสุขภาพ อาหารแห่งอนาคต
นอกจากนี้เราต้องทำสตอรี่หรือเรื่องราวของสินค้าให้โดนใจผู้บริโภค ซึ่งไทยยังขาดเรื่องนี้อยู่มาก หากเทียบกับประเทศอื่น เช่น ญี่ปุ่นที่ทำสตอรี่สินค้าจนเป็นที่รู้จักกันทั่วโลก
นายวิศิษฐ์ กล่าวว่า สำหรับโอกาสการค้าของไทย มองว่า ต้องมองเรื่องการเปิดตลาดใหม่ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยง จากตลาดเดิมได้ เพราะเราต้องค้าขายกับคนทั้งโลก แต่เราก็ต้องไม่ลืมดูแลเอสเอ็มอีให้สามารถแข่งขันได้ เช่น การเลือกตลาด ที่ต้องตรงกับสินค้าที่เอสเอ็มอีผลิต มาตราฐานของประเทศนั้นที่เราไปค้าขายเอสเอ็มอีสามารถทำได้ตามมาตราฐานหรือไม่ เป็นต้น นอกจากนี้ ในเรื่องของ Digital Transformation ที่ต้องนำมาใช้ในธุรกิจ เพื่อลดต้นทุน ลดเวลาทำธุรกิจและอำนาวยความสะดวกด้านธุรกิจ ซึ่งจะเป็นเซอร์วิสให้กับผู้ส่งออกไม่ว่าจะเป็นรายใหญ่หรือรายเล็กและยังป้องกันการทุจริต มีความโปร่งใสตรวจสอบได้







