'ไฮสปีดสามสนามบิน' วนลูป แก้สัญญาไม่จบ ตอกเสาเข็มไม่ได้

“ไฮสปีดสามสนามบิน” กำลังวนลูปปัญหาแก้ไขสัญญา ลงนามสัญญามา 6 ปี ยังไร้วี่แววตอกเสาเข็ม “พิพัฒน์” ประกาศนโยบายชัด รัฐบาลนี้ไม่แก้สัญญา เริ่มถกรัฐ - เอกชนใหม่อีกรอบเพื่อหาทางออก
KEY
POINTS
- โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินล่าช้ากว่า 6 ปี ยังไม่สามารถเริ่มตอกเสาเข็มก่อสร้างได้ เนื่องจากติดปัญหาการเจรจาแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนที่ยังไม่ได้ข้อยุติ
- ประเด็นหลักของการแก้ไขสัญญาคือการเปลี่ยนวิธีการชำระเงินที่รัฐร่วมลงทุน จากเดิมที่จ่ายเงินหลังสร้างเสร็จ เป็นการทยอยจ่ายตามความคืบหน้าของงาน หรือ "สร้างไปจ่ายไป"
- รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมคนปัจจุบันไม่เห็นด้วยกับหลักการแก้ไขสัญญาเป็นแบบ "สร้างไปจ่ายไป" โดยมองว่าผิดไปจากสัญญาเดิม ทำให้โครงการเกิดความไม่แน่นอนและยังคงหยุดชะงัก
โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง สุวรรณภูมิ อู่ตะเภา) เดินหน้ามากว่า 6 ปี นับตั้งแต่วันที่ 24 ต.ค.2562 ซึ่งมีการลงนามระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และบริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด ที่มีเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ถือหุ้นใหญ่ ผู้ชนะการประมูล และขอรับเงินร่วมลงทุนจากรัฐต่ำสุด 117,226 ล้านบาท
ขณะที่ปัจจุบันยังไม่สามารถตอกเสาเข็มเริ่มงานก่อสร้างได้ เพราะติดปัญหาลากยาวตั้งแต่สถานการณ์โควิด ทำให้เอกชนคู่สัญญายื่นเสนอขอรับการเยียวยาเพราะได้รับผลกระทบจากผู้โดยสารแอร์พอร์ตเรลลิงก์ลดลง จึงเป็นที่มาของการเริ่มต้นเจรจามาตรการเยียวยาและปรับแก้สัญญาร่วมลงทุน ซึ่งผ่านมากว่า 6 ปี นับตั้งแต่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน และรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร แต่ยังไม่สามารถอนุมัติแก้ไขสัญญาได้
สำหรับประเด็นของการปรับแก้สัญญาฉบับล่าสุดในสมัย รัฐบาล น.ส.แพทองธาร ที่มีประธาน กพอ.เป็นนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เห็นชอบแก้ไขสัญญา 5 ประเด็น เมื่อเดือน ต.ค.2567 ประกอบด้วย
1.วิธีชำระเงินที่รัฐร่วมลงทุน (Public Investment Cost : PIC) จากเดิมเมื่อเอกชนเปิดเดินรถไฟความเร็วสูง รัฐจะแบ่งจ่ายเป็นจำนวน 149,650 ล้านบาท ปรับเป็นจ่ายเป็นงวดตามความก้าวหน้าของงานที่ รฟท.ตรวจรับ วงเงินไม่เกิน 120,000 ล้านบาท
ทั้งนี้เอกชนต้องวางหลักประกันเพิ่มเติมจากสัญญาเดิม รวมเป็นจำนวน 160,000 ล้านบาท เพื่อรับประกันว่าจะก่อสร้างและเปิดให้บริการรถไฟความเร็วสูงได้ภายใน 5 ปี โดยกรรมสิทธิ์สิ่งปลูกสร้างจะทยอยตกเป็นของภาครัฐ (รฟท.) ทันทีตามงวดของการจ่ายเงิน
2.กำหนดการชำระค่าสิทธิให้ร่วมลงทุนในโครงการแอร์พอร์ตเรลลิงก์ (ARL) โดยให้เอกชนแบ่งชำระค่าสิทธิจำนวน 10,671.09 ล้านบาท เป็น 7 งวด เป็นรายปี จำนวนเท่า ๆ กัน โดยต้องชำระงวดแรก ณ วันที่ลงนามแก้ไขสัญญา ในการนี้เอกชนจะต้องวางหนังสือค้ำประกันที่ออกโดยธนาคาร ในมูลค่าเท่ากับค่าสิทธิ ARL รวมถึงค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเงินอื่นที่ รฟท.ต้องรับภาระ
3.กำหนดส่วนแบ่งผลประโยชน์ตอบแทน (Revenue Sharing) เพิ่มเติม หากในอนาคตอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของโครงการฯ ลดลงอย่างมีนัยสําคัญ และเป็นผลให้เอกชนได้ผลประโยชน์ตอบแทน (IRR) เพิ่มขึ้นเกิน 5.52% รฟท.มีสิทธิเรียกให้เอกชนชําระส่วนแบ่งผลประโยชน์เพิ่มได้ ตามจำนวนที่จะตกลงกันต่อไป
4.การยกเว้นเงื่อนไขการออกหนังสือแจ้งให้เริ่มงาน (Notice to Proceed : NTP) โดยให้คู่สัญญาจัดทำบันทึกข้อตกลงยกเว้นเงื่อนไข NTP ที่ยังไม่สำเร็จ เพื่อให้ รฟท.สามารถออก NTP ได้ทันทีเมื่อลงนามสัญญาที่แก้ไขตามหลักการทั้งหมดนี้
5.การป้องกันปัญหาในอนาคต ที่อาจเกิดขึ้นจากเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อสถานะทางการเงินของโครงการฯ โดยปรับปรุงข้อสัญญาในส่วนของเหตุสุดวิสัยและเหตุผ่อนผัน ให้สอดคล้องกับสัญญาร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชนในโครงการอื่น
โดยสถานะของร่างสัญญาฉบับใหม่ ได้ผ่านการพิจารณาจากอัยการสูงสุดแล้ว โดยอัยการสูงสุดมีหนังสือตอบกลับความเห็นส่วนใหญ่มากกว่า 95% เห็นด้วยกับร่างแก้ไขสัญญา และไม่ปรับร่างแก้ไขสัญญา มีเพียงอีก 5% ที่มีความเห็นเพิ่มว่าหากแก้ไขจะทำให้รัฐได้ประโยชน์มากกว่า อาทิ
- การชำระค่าสิทธิให้ร่วมลงทุนโครงการแอร์พอร์ตเรลลิงก์ (ARL) ที่ให้แบ่งชำระค่าสิทธิ 10,671.09 ล้านบาท เป็น 7 งวด อัยการสูงสุดมีความเห็นจากเดิมที่แบ่งจ่าย 7 งวด เป็นแบ่งจ่ายให้เร็วขึ้น
- การปรับวิธีการชำระเงินที่รัฐร่วมลงทุนเป็น “สร้างไปจ่ายไป” อัยการสูงสุดมีความเห็นให้เจรจากับเอกชนเพื่อวางหลักประกันควรเร็วขึ้นกว่าเดิม
ขณะที่เมื่อเข้าสู่ “รัฐบาลอนุทิน” นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ประกาศในวันมอบนโยบายข้าราชการและหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคมว่า ภายใต้รัฐบาลนี้มีเวลา 4 เดือน และอีก 4 เดือนเป็นช่วงรักษาการระหว่างการเลือกตั้ง จะเร่งแก้ปัญหาโครงการร่วมลงทุนที่ยังค้างคาอยู่ โดยเฉพาะรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ที่ล่าช้ามากกว่า 6 ปี
โดยตนไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขสัญญาปรับเงื่อนไขจากเมื่อครั้งการประมูลกำหนดให้เอกชนต้องสร้างให้เสร็จและภาครัฐจะจ่ายเงินสนับสนุน ตอนนี้กำลังเจรจาปรับสัญญาเป็น “สร้างไปจ่ายไป” หรือจะจ่ายเป็นงวดๆ เหมือนงวดงานการประมูลทั่วไป ซึ่งมองว่าผิดหลักการสัญญาเดิม และหากเสนอเข้า ครม. เชื่อว่าจะไม่ได้รับการอนุมัติ
“จะขอปรับแก้สัญญาเป็นจะจ่ายเป็นงวดๆ หรือที่เรียกว่าสร้างไปจ่ายไป เรื่องนี้ถ้าขืนผมทำไปผมคิดว่าผมคงรับไม่ไหวเหมือนกัน และแน่นอนว่าผมจะไม่ทำเรื่องที่ผิดกับกฎหมาย เพราะสัญญาเดิมเขียนไว้แล้วไม่ใช่แบบนี้”
ทั้งนี้ เพื่อหาแนวทางออกที่ไม่ขัดต่อสัญญาเดิม จะเชิญผู้ประกอบการเอกชน รฟท.และ สกพอ.หารือร่วมกันเพื่อหาแนวทางออก แต่หากโครงการนี้ดำเนินการไม่ได้ ก็จะไม่กระทบการใช้บริการ เพราะปัจจุบัน รฟท.มีโครงการรถไฟทางคู่ให้บริการถึงสถานีแหลมฉบัง ดังนั้นขยายแนวเส้นทางต่อเนื่องไปยังอู่ตะเภา และเพิ่มจำนวนขบวนรถเพื่อรองรับการให้บริการได้
แหล่งข่าวจาก สกพอ.กล่าวว่า หากโครงการไปต่อไม่ได้ โดยทุกฝ่ายมีความเห็นว่าไม่ควรแก้สัญญาก็ต้องหาทางออกร่วมกันใหม่ แต่ยืนยันว่าการแก้สัญญาไม่ขัดหลักกฎหมาย เพราะตัวสัญญาที่ปรับแก้ได้ผ่านการพิจารณาจากอัยการสูงสุดแล้ว โดยเฉพาะประเด็นสร้างไปจ่ายไปก็ไม่เอื้อประโยชน์เอกชน เพราะกำหนดให้เอกชนวางหลักประกันเพิ่มเติมเพื่อไม่ให้กระทบกรณีการทิ้งงาน
ขณะที่สถานะการพิจารณาร่างแก้ไขสัญญาปัจจุบันผ่านการพิจารณาจากอัยการสูงสุดและส่งให้ รฟท.พิจารณาข้อเสนอแนะ หลังจากนี้เป็นอำนาจ รฟท.ที่จะเสนอสัญญาฉบับใหม่เข้า ครม.พิจารณาหรือไม่ โดยหากเป็นไปตามนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่ไม่เห็นด้วยกับการแก้สัญญาเป็นสร้างไปจ่ายไปคงต้องรอดูนโยบายที่ออกมาเป็นทางการ และดำเนินการตามที่รัฐบาลกำหนด







