ย้อนรอย ครม.เศรษฐกิจ จากอดีตถึงปัจจุบัน  อนุทิน ฟื้นกลไก ตอบโจทย์ ‘Quick Big Win’

ย้อนรอย ครม.เศรษฐกิจ จากอดีตถึงปัจจุบัน   อนุทิน ฟื้นกลไก ตอบโจทย์ ‘Quick Big Win’

รัฐบาลอนุทินนำกลไก "คณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ" หรือ "ครม.เศรษฐกิจ" กลับมาใช้อีกครั้ง เพื่อเป็นเครื่องมือหลักในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ การฟื้น ครม.เศรษฐกิจ มีเป้าหมายเพื่อผลักดันนโยบาย "Quick Big Win"ทำงานที่จำกัด

KEY

POINTS

  • รัฐบาลอนุทินนำกลไก "คณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ" หรือ "ครม.เศรษฐกิจ" กลับมาใช้อีกครั้ง เพื่อเป็นเครื่องมือหลักในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ
  • การฟื้น ครม.เศรษฐกิจ มีเป้าหมายเพื่อผลักดันนโยบาย "Quick Big Win" ให้เกิดผลอย่างรวดเร็วและเป็นรูปธรรมภายในกรอบเวลาการทำงานที่จำกัด
  • ครม.เศรษฐกิจเป็นกลไกที่เคยถูกใช้ในรัฐบาลหลายยุคสมัย เพื่อรวมศูนย์การตัดสินใจและประสานงานนโยบายเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในสถานการณ์เร่งด่วนหรือภาวะวิกฤต
  • นายกรัฐมนตรีอนุทินกำหนดให้มีการประชุม ครม.เศรษฐกิจ เป็นประจำทุกบ่ายวันจันทร์ เพื่อกลั่นกรองเรื่องสำคัญก่อนนำเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดใหญ่

เริ่มต้นนับหนึ่งอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 ต.ค.ที่ผ่านมาสำหรับการทำงานของ ’รัฐบาลอนุทิน’ ที่ประกาศจะเข้ามาแก้ปัญหาของประเทศในช่วงเวลา 4 เดือน ก่อนจะยุบสภาคืออำนาจให้ประชาชนในเดือน ม.ค.2569  

หนึ่งในปัญหาที่รัฐบาลประกาศว่ามุ่งมั่นจะแก้ไขคือการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลที่นำโดยนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ประกาศนโยบาย “Quick Big Win” การกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นและสร้างผลกระทบระยะยาว

ด้วยระยะเวลาการทำงานของรัฐบาลที่จำกัด กลไกในการที่จะแปลงแนวคิดและนโยบายไปสู่การปฏิบัติจึงมีความสำคัญมาก ซึ่งนอกจากการทำงานของทีมเศรษฐกิจที่มาจากโควต้า “คนนอก” ยังต้องมีการทำงานร่วมกันของกระทรวงอื่นๆที่ขับเคลื่อนโดย “นักการเมือง” เข้ามาทำงานควบคู่กันเพื่อให้เป้าหมายการทำงานด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลประสบผลสำเร็จตามเป้าหมาย

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี จึงมีแนวคิดให้มีการนำเอากลไกการจัดประชุม "คณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ" หรือ "ครม.เศรษฐกิจ" กลับมาอีกครั้ง โดยระบุว่าจะจัดขึ้นเป็นประจำในทุกวันจันทร์ ที่ทำเนียบรัฐบาลก่อนที่ในวันอังคารจะมีการประชุม ครม.เต็มคณะเพื่อพิจารณาเห็นชอบเรื่องต่างๆตามวาระต่อไป

หากมองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์การเมืองไทย “ครม.เศรษฐกิจ” เกิดขึ้นมาแล้วในรัฐบาลหลายยุคหลายสมัย เป็นกลไกสำคัญในการบริหาร และกำหนดนโยบายเศรษฐกิจของประเทศไทย ทั้งในภาวะปกติเพื่อผลักดันวาระสำคัญ และในภาวะวิกฤติเพื่อรองรับและแก้ไขปัญหาเร่งด่วน

ในรายงานสรุปสาระสำคัญของโครงการวิจัย การบริหารเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เขียนโดย ศ.ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช ราชบัณฑิต ที่ ได้ระบุว่าคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ได้เกิดขึ้นในประเทศไทยครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2526 โดยนโยบายเศรษฐกิจแห่งชาติ เมื่อปลายปี 2523 คณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ หรือ รศก. เกิดจากความจำเป็นทางการบริหารนโยบาย และการเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและการเมือง

ทั้งนี้ เพื่อให้มิติการเมืองเข้ามามี บทบาทสำคัญในการบริหารเศรษฐกิจมากขึ้น ให้ทำหน้าที่ตั้งรับและประสานความขัดแย้ง อันเนื่องจากการ เปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและการเมือง หรืออีกนัยหนึ่ง เป็นแกนกลางที่จะประสานนโยบายเศรษฐกิจ ด้านต่างๆ ให้สอดคล้องสัมพันธ์กับแผนพัฒนาของประเทศ

คณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ปฏิบัติงานในกรอบการประนีประนอมระหว่างฝ่ายต่างๆ โดย มีฝ่ายเลขานุการทำหน้าที่เลือกสรร จัดลำดับความสำคัญของเรื่องที่เข้าสู่การพิจารณา โดยในการพิจารณา นั้น นายกรัฐมนตรีทำหน้าที่ประสาน ประนีประนอม ลดความขัดแย้ง และเลี่ยงการตกลงต่อรองทางการ เมือง เมื่อมีมติก็แจ้งให้คณะรัฐมนตรีทราบ จึงเท่ากับคณะกรรมการชุดนี้ตัดสินนโยบายทางเศรษฐกิจได้ ทั้งนี้บทบาทสำคัญขึ้นกับภาวะผู้นำของนายกรัฐมนตรี โดยได้รับการสนับสนุนบทบาทเพิ่มขึ้นในการกำกับและบริหารนโยบายเศรษฐกิจด้วยจากกลุ่มเทคโนแครท และกลุ่มนักวิชาการในการเตรียมพร้อมและป้อนข้อมูล รวมถึงสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติ (สศช.) ในฐานะเลขานุการของคระกรรมการก็จะมีบทบาทสำคัญในการทำวาระการประชุม 

ขณะเดียวกันยังมีบางแหล่งข้อมูลที่ระบุว่า ครม.เศรษฐกิจมีรูปแบบมาจากในประเทศอังกฤษอันเป็นผลจากการขยายตัวอย่างรวดเร็วและการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมในช่วงทศวรรษ 1970 กลไกนี้ถูกออกแบบมาเพื่อทำหน้าที่คล้ายกับ "คณะรัฐมนตรีวงใน" (inner cabinet) ซึ่งเป็นคำที่ใช้กันในสหราชอาณาจักร

ที่ใช้เรียก “กลุ่มรัฐมนตรีชั้นใน” ของนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีจำนวนไม่มาก และจะได้รับเชิญให้เข้าร่วมหารือในประเด็นสำคัญเป็นพิเศษ ถือเป็นกลไกภายในของ Cabinet system ที่อังกฤษพัฒนาขึ้นมา โดย Cabinet คือคณะรัฐมนตรีทั้งหมด แต่ Inner Cabinet คือวงเล็กที่ใกล้ชิดนายกฯ และมีอิทธิพลจริงในการตัดสินใจ เพื่อช่วยในการบริหาร และติดตามการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของชาติ

ย้อนรอย ครม.เศรษฐกิจในประทเศไทย 

สำหรับในประเทศไทย โครงสร้างและบทบาทของ ครม.เศรษฐกิจ ได้มีการปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัยของรัฐบาล ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีในแต่ละสมัย ดังนี้ 

1.ในสมัยยุครัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ มีการจัดตั้ง ครม.เศรษฐกิจขึ้น โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานเอง ซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญในการจัดการและประสานงานนโยบายเศรษฐกิจของชาติ เพื่อแก้ปัญหาสำคัญเช่น วิกฤตการณ์นํ้ามันครั้งที่ 2 ทำให้ทั่วโลกเกิดเงินเฟ้อหนัก หลังจากนั้นเศรษฐกิจตกตํ่า รวมทั้งประเทศไทยก็ได้รับผลกระทบ ทำให้ขาดเสถียรภาพทางการเงินและการคลัง ขาดดุลการค้า ดุลการชำระเงิน และดุลงบประมาณ ซึ่งเป็นปัญหาที่ต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วนเพื่อไม่ให้ประเทศล้มละลาย จากนั้นเริ่มมีนโยบายพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก หรือ Eastern Sea Board (ESB) เข้าสู่ยุค “โชติช่วง ชัชวาล”

ทีมเศรษฐกิจบ้านพิษณุโลก

ขณะที่ในยุค พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกรัฐมนตรีที่มีการระดมที่ปรึกษาเศรษฐกิจเข้ามาในนาม "ที่ปรึกษาบ้านพิษณุโลก จนเกิดเป็นนโยบาย “เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า” จุดแข็งของรัฐบาล "น้าชาติ ซึ่งทีม “มันสมองบ้านพิษณุโลก” ในขณะนั้นทำงานร่วมกันกับรัฐบาลเหมือน ครม.เศรษฐกิจสามารถวางกรอบยุทธศาสตร์ที่ทำให้การบริหารในยุคนั้นถูกจดจำในฐานะหนึ่งในรัฐบาลที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้สำเร็จ

ในสมัยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ คือหนึ่งในโมเดลพิเศษของการบริหารเศรษฐกิจ เมื่อ “ครม.เศรษฐกิจ” ไม่ได้มีนายกรัฐมนตรีนั่งหัวโต๊ะ แต่เป็นการมอบหมายให้ นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่ประธาน ผ่านกลไก คณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจส่วนรวม (คศร.) ที่ดึงหน่วยงานเทคนิคและกฎหมายเข้าร่วมครบชุด ไม่ว่าจะเป็น สำนักงบประมาณ เลขาธิการกฤษฎีกา ผู้ว่าการธนาคารแห่งประทเศไทย (สศค.) ไปจนถึงคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) มาทำงานร่วมกัน รวมทั้งเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนและนักวิชาการ ตัวท็อปทั้ง ประธานหอการค้า–สภาอุตฯ–สมาคมธนาคาร โดยมีภารกิจหลักคือ “สแกนเศรษฐกิจ” ทั้งใน–นอกประเทศ แล้วรายงานตรงต่อนายกฯ

รศก.ครม.เศรษฐกิจยุคอภิสิทธิ์ 

ขณะที่ยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีการจัดตั้ง "คณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ" หรือ "รศก." โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เพื่อเร่งรัดติดตาม แก้ไขปัญหา และกำหนดมาตรการ โครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจในภาวะเร่งด่วน โดยกำหนดให้มีการประชุมเป็นประจำ "ทุกวันพุธ"

ยุครัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร : มีการประชุม ครม.เศรษฐกิจ โดยมอบหมายให้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (ในขณะนั้นคือกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นผู้ดำเนินการ โดยมุ่งเน้นการติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจ การกำกับดูแลราคาสินค้า และการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน

ยุครัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มีมติเห็นชอบแต่งตั้ง “คณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ” เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2562 โดยมี พล.อ. ประยุทธ์ เป็นประธาน คณะกรรมการชุดนี้มีอำนาจหน้าที่พิจารณากลั่นกรองเรื่องสำคัญที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวม และเสนอแนะมาตรการเชิงรุกก่อนนำเสนอ ครม. โดยในปี 2563 -2564 มีการจัดตั้ง ศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ หรือ ศบศ. เพื่อรับมือกับผลกระทบด้านเศรษฐกิจจากโควิด-19 และการวางแผนฟื้นเศรษฐกิจอย่างเป็นขั้นเป็นตอน โดยมีตัวแทนจากภาคเอกชนเข้ามาร่วมทำงานกับรัฐบาลอย่างใกล้ชิด

เศรษฐาเรียก ครม.เศรษฐกิจรับ GDP ติดลบ 

ต่อมาในยุครัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน มีการเรียกประชุม ครม.เศรษฐกิจด่วน เนื่องจากตัวเลข GDP ไตรมาส 1 ปี 67 ขยายตัวต่ำเพียง 1.5% ซึ่งถือว่าต่ำที่สุดในอาเซียน. นายกรัฐมนตรีได้กำหนดให้มีการประชุมในวันจันทร์แต่มีการประชุมไม่กี่ครั้งก็ยกเลิกไป

ขณะที่ในสมัยรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ไม่ได้ใช้กลไก ครม.เศรษฐกิจ มีแค่การเนียกประชุมเป็นวาระในเรื่องสำคัญ เช่น การรับมือกับมาตรการภาษีสหรัฐ

สำหรับการบริหารงานของรัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่า เตรียมจะมีการประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ "ทุกบ่ายวันจันทร์" ซึ่งจะเริ่มครั้งแรกในวันจันทร์นี้

ปัจจุบัน เศรษฐกิจไทยอยู่ในขั้นวิกฤติ นายเอกนิติ เปรียบเสมือนรถที่ติดหล่มและกำลังดิ่งลงเหว เนื่องจากเครื่องยนต์หลักๆ เช่น การส่งออก การบริโภค และการลงทุนภาคเอกชน. ดังนั้น ครม.เศรษฐกิจ จึงเป็นกลไกสำคัญในการข้บเคลื่อนเศรษฐกิจหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการ สร้างความเชื่อมั่น: โจทย์ใหญ่ของ ครม.เศรษฐกิจคือการสร้างความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทยให้กับประชาชนและภาคเอกชน โดยผลลัพธ์จากการประชุมต้องเป็นรูปธรรมและจับต้องได้.

การขับเคลื่อนนโยบายเร่งด่วน ทีม ครม.เศรษฐกิจของรัฐบาลอนุทิน ซึ่งได้รับการคาดหวังว่าเป็น "ดรีมทีมเศรษฐกิจ"  ได้กำหนดแผนเร่งด่วน "Quick Big Win" ภายในระยะเวลา 4 เดือน.

"อนุทิน" ดัน ครม.เศรษฐกิจ ทำ Quick Big Win 

การมุ่งเน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจและการแก้ไขปัญหาปากท้อง: โดยกระทรวงการคลัง ภายใต้การนำของ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ (รองนายกฯและ รมว. คลัง) มุ่งเน้นการกระตุ้นสั้น ได้ยาว และกระจายตัว ผ่าน 5 เสาหลัก เช่น โครงการ คนละครึ่งพลัส, มาตรการแก้หนี้ครัวเรือน โดยเฉพาะหนี้เสียที่มีมูลค่ารวม 123,000 ล้านบาท, การเสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการรายย่อย (SME), และการเพิ่มขีดความสามารถทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี. เป้าหมายคือการดัน GDP ไตรมาส 4 ปี 2568 ให้ขยายตัวมากกว่า 0.3% และลดหนี้ครัวเรือนให้ต่ำกว่า 87% ของ GDP.

ส่วนกระทรวงพลังงาน ภายใต้แผน “QUICK BIG WIN” ของ นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รมว. พลังงาน  มุ่งผลักดันโซลาร์ภาคประชาชนและการลงทุนพลังงานสะอาด โดยถูกคาดหวังอย่างมากในการลดค่าพลังงาน ทั้งค่าไฟฟ้าและค่าน้ำมัน

เช่นเดียวกับกระทรวงพาณิชย์ ภายใต้การนำของ นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รมว. พาณิชย์ มุ่งเร่งเจรจาการค้า เช่น FTA ไทย-ยุโรป และไทย-เกาหลีใต้ พร้อมทั้งมาตรการลดค่าครองชีพด้วยโครงการธงฟ้าและการควบคุมราคาเวชภัณฑ์.

จะเห็นได้ว่า การนำ ครม.เศรษฐกิจกลับมาใช้อีกครั้งในปัจจุบันจึงสะท้อนถึงความพยายามของรัฐบาลในการรวมอำนาจการตัดสินใจเชิงนโยบายเศรษฐกิจที่สำคัญไว้ที่ศูนย์กลาง เพื่อให้เกิดการประสานงานที่รวดเร็ว (Quick Win) และสามารถตอบสนองต่อปัญหาเศรษฐกิจที่ซับซ้อนและเร่งด่วนได้อย่างมีประสิทธิภาพ