นับถอยหลัง สิ้นสัมปทาน BTS 'มหาดไทย' ชี้ชะตาสายสีเขียว

กทม.ลุยศึกษาเปิด PPP สัมปทาน “รถไฟฟ้าสายสีเขียว” หลังเตรียมหมดสัญญาเดิมในปี 2572 เบื้องต้นวางโมเดลเหมาะสมที่สุด PPP Gross cost กทม.กลับมาบริหารเอง และจ้างเอกชนเดินรถ คาดศึกษาโครงการแล้วเสร็จปีหน้าชง “มหาดไทย” พิจารณา ตั้งเป้าเปิดประมูลปี 2571 ด้าน “บีทีเอส” ขอศึกษาเงื่อนไขทีโออาร์ ก่อนตัดสินใจร่วมประมูล
KEY
POINTS
- สัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนหลักของ BTS จะสิ้นสุดลงในปี 2572 ทำให้กรุงเทพมหานคร (กทม.) ต้องเตรียมการเพื่อบริหารโครงการต่อ
- กทม. กำลังศึกษา และเตรียมเปิดประมูลหารายใหม่ในรูปแบบการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (PPP) โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปรูปแบบที่ชัดเจนในปี 2569
- ผลการศึกษาจะต้องถูกเสนอให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาเห็นชอบก่อนเสนอคณะรัฐมนตรี เพื่อเริ่มกระบวนการคัดเลือกเอกชนให้ทันก่อนสัญญาปัจจุบันจะหมดอายุ
โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว เป็นขนส่งมวลชนระบบรถไฟฟ้าสายแรกของประเทศไทย โดยกลุ่มบริษัท ธนายง จำกัด ชนะประมูล และตั้งบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด หรือ BTSC ซึ่งได้รับสัญญาสัมปทานจากกรุงเทพมหานคร (กทม.) ในการสร้าง และบริหารระบบรถไฟฟ้า ซึ่งกรุงเทพมหานคร เป็นผู้จัดหาที่ดิน และเอกชนเป็นผู้ลงทุนเองทั้งหมด 100% โดยใช้เงินลงทุน 51,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ ส่วนสัมปทานประกอบด้วย ช่วงหมอชิต-อ่อนนุช และช่วงสนามกีฬาแห่งชาติ-สะพานตากสิน เปิดให้บริการเมื่อปี 2542 มีระยะเวลาสัมปทาน 30 ปี ตั้งแต่ปี 2542-2572 ซึ่งเมื่อครบกำหนดผู้รับสัมปทานจะต้องส่งมอบทรัพย์สินทั้งหมดให้กรุงเทพมหานคร
รวมทั้งปัจจุบันโครงข่ายรถไฟฟ้าสายสีเขียวทั้งหมดมี 60 สถานี รวมระยะทาง 68.25 กิโลเมตร มีสถานีสยามเป็นจุดเปลี่ยนถ่ายหลัก
นอกจากนี้ BTSC ยังได้รับสัญญาจ้างเดินรถ และซ่อมบำรุงระบบรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย ที่ กทม.มีหนี้ค้างค่าจ้างประมาณ 3.4 หมื่นล้านบาท ซึ่งสัญญาจ้างจะสิ้นสุดสัญญาในปี 2585 ดังนี้
1.ปี 2555 ได้รับสัญญาจ้างเดินรถส่วนต่อขยายที่ 1 สะพานตากสิน-วงเวียนใหญ่ และอ่อนนุช-แบริ่ง
2.ปี 2556 ได้รับสัญญาจ้างเดินรถส่วนต่อขยายที่ 1 วงเวียนใหญ่-ตลาดพลู-บางหว้า
3.ปี 2560-2563 ได้รับสัญญาจ้างเดินรถส่วนต่อขยายที่ 2 แบริ่ง-สมุทรปราการ และหมอชิต-คูคต
นายสิทธิพร สมคิดสรรพ์ ผู้อำนวยการ สำนักการจราจรและขนส่ง กรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวในงานประชุมสัมมนาเพื่อประชาสัมพันธ์โครงการงานศึกษา และวิเคราะห์โครงการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานคร (รถไฟฟ้าสายสีเขียว) หลังหมดสัญญาสัมปทาน 30 ปี ให้สอดคล้องตาม พ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐ และเอกชน พ.ศ.2562 เพื่อนำข้อเสนอแนะไปประกอบการพิจารณาจัดทำเอกสารประกวดราคา
สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว เป็นอีกหนึ่งในภารกิจสำคัญของ กทม.ในการบริหารจัดการระบบขนส่งมวลชนทางรางให้เป็นระบบขนส่งมวลชนหลัก ซึ่งเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายแรกของไทยพร้อมกัน 2 สาย ได้แก่ สายสุขุมวิท และสายสีลม เมื่อปี 2542
รวมทั้งต่อมาได้ลงทุนก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานของรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยายที่ 1 และการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ได้ดำเนินการก่อสร้างส่วนต่อขยายที่ 2
ขณะที่ปี 2561 คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้ กทม.เป็นผู้บริหารจัดการเดินรถในส่วนต่อขยายที่ 2 รวมถึงมีมติเห็นชอบให้โอนทรัพย์สินของโครงการในส่วนต่อขยายที่ 2 ให้ กทม.เพื่อประสิทธิภาพ และชาวกรุงเทพฯ ได้รับความสะดวกในการเดินทางด้วยระบบบริหารจัดการเดียวกัน
ศึกษาโมเดล PPP เตรียมเปิดประมูล
กรุงเทพธุรกิจ รายงานว่าสำหรับการจัดสัมมนาครั้งนี้ จะศึกษาถึงส่วนของรถไฟฟ้าสายสีเขียวสายหลัก ช่วงหมอชิต-อ่อนนุช และช่วงสนามกีฬาแห่งชาติ-สะพานตากสิน ระยะทางรวม 23.5 กิโลเมตร จำนวน 24 สถานี ซึ่งปัจจุบันดำเนินงานโครงการภายใต้สัมปทานความร่วมมือระหว่างภาครัฐ และเอกชน ระยะเวลาสัมปทาน 30 ปี (2542-2572) และเมื่อครบอายุสัมปทานในปี 2572 เอกชนจะต้องส่งมอบทรัพย์สินให้กับ กทม.
ด้วยเหตุนี้สำนักการจราจรและขนส่ง จึงต้องจ้างที่ปรึกษาเพื่อศึกษา และวิเคราะห์โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวสายหลัก หลังหมดสัมปทาน 30 ปี เพื่อให้ต่อเนื่องในการให้บริการเป็นระบบเดียวกันกับส่วนต่อขยายที่ 1 และส่วนต่อขยายที่ 2 และให้สอดคล้อง พ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐ และเอกชน พ.ศ.2562
ทั้งนี้ สำนักการจราจรและขนส่ง กรุงเทพมหานคร จะรวบรวมข้อมูลความคิดเห็น และข้อเสนอแนะจากทุกภาคส่วน นำมาพิจารณาประกอบการศึกษาของโครงการ พร้อมทั้งมีแผนดำเนินงานจัดสัมมนาเพื่อรับฟังความคิดเห็นการลงทุนโครงการของภาคเอกชนอีกครั้ง เดือนพ.ย.- ธ.ค.2568 เพื่อนำเสนอผลการศึกษาของโครงการให้ภาคเอกชนรับทราบ
ปี 2569 ชงมหาดไทยเคาะก่อนเสนอ ครม.
ตัวแทนที่ปรึกษาโครงการ กล่าวว่า กรอบดำเนินงานศึกษาความเหมาะสมของการจัดทำโครงการเปิดให้เอกชนร่วมลงทุนรัฐ (พีพีพี) ในโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวหลัก ช่วงหมอชิต-อ่อนนุช และช่วงสนามกีฬาแห่งชาติ-สะพานตากสิน
ขณะนี้ที่ปรึกษาได้เริ่มดำเนินการรวบรวมข้อมูล และศึกษาคืบหน้าประมาณ 43% คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนม.ค.2569 หลังจากนั้นจะเข้าสู่ขั้นตอนสรุปผลการศึกษาความเหมาะสมของรูปแบบพีพีพี
ดังนั้น ปี 2569 จะได้เห็นความชัดเจนของรูปแบบพีพีพีที่เหมาะสม สำหรับเตรียมความพร้อมเข้าสู่ขั้นตอนเปิดประกวดราคาจัดหาเอกชนร่วมลงทุน โดยตามกระบวนการเมื่อศึกษาแล้วเสร็จจะต้องเสนอไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พิจารณาเห็นชอบ
ทั้งนี้ เบื้องต้นคาดว่าจะเสนอได้ภายในเดือนมิ.ย.2569 หากผ่านการเห็นชอบก็จะเสนอไปยัง ครม.พิจารณาในเดือน เม.ย.2570 และคาดจะเริ่มกระบวนการจัดทำเอกสารประกวดราคา (ทีโออาร์) ทันที เพื่อเปิดให้เอกชนยื่นข้อเสนอในเดือน มี.ค.2571
“ตามกฎหมายได้กำหนดไว้ว่าเมื่อโครงการที่เอกชนร่วมลงทุนรัฐใกล้จะหมดสัญญาสัมปทาน ภายใน 5 ปีก่อนหมดสัญญาจะต้องเริ่มกระบวนการศึกษาความเหมาะสมของรูปแบบที่จะดำเนินการต่อ โดยในส่วนของรถไฟฟ้าสายสีเขียวหลัก ตอนนี้ก็อยู่ในกระบวนการศึกษาเปรียบเทียบโมเดลที่จะบริหารโครงการหลังหมดสัญญาสัมปทานในปี 2572 รูปแบบใดเหมาะสมมากที่สุด”
ทั้งนี้ จากการพิจารณาข้อมูลเกี่ยวกับรายได้การเดินรถ สื่อโฆษณา และทรัพย์สินของรถไฟฟ้าสายสีเขียวในปัจจุบันที่เอกชนต้องส่งมอบให้กับ กทม.นั้น อาทิ สถานีรถไฟฟ้า สื่อโฆษณาในสถานี
รวมไปถึงอาคารสำนักงานที่จตุจักร พบว่าโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวมีทรัพย์สิน และมูลค่าค่อนข้างมาก อีกทั้งยังมีรายได้จากค่าโดยสารเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และในอนาคตหากรัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนรถไฟฟ้าเป็นขนส่งมวลชนหลัก จะสร้างโอกาสให้กับเอกชนที่เข้ามาร่วมประมูลโครงการนี้
PPP Gross Cost เสี่ยงต่ำ–รัฐเก็บรายได้เอง
อย่างไรก็ดี จากปัจจัยบวกดังกล่าวที่ปรึกษาจึงประเมินว่าด้วยโครงการมีมูลค่าสูง และมีความเสี่ยงน้อย ดังนั้นรูปแบบพีพีพีที่เหมาะสมในขณะนี้อาจจะเป็น PPP Gross Cost โดยภาครัฐเป็นผู้จัดเก็บรายได้จากค่าโดยสาร และรายได้เชิงพาณิชย์ ภาครัฐจะรับความเสี่ยงด้านรายได้เองทั้งหมด และจะจ่ายเงินค่าตอบแทนให้กับเอกชนในรูปแบบของเงินค่าจ้างจากการบริหารงานเดินรถ ซึ่งรูปแบบพีพีพีลักษณะนี้ ปัจจุบันก็ใช้ดำเนินการในหลายโครงการ เช่น รถไฟฟ้าสายสีม่วง
ที่ปรึกษาโครงการ ระบุด้วยว่า รูปแบบการร่วมลงทุนที่เหมาะสมคงต้องรอให้ผลการศึกษาเปรียบเทียบแล้วเสร็จ แต่ลักษณะของ PPP Gross Cost เป็นรูปแบบที่เหมาะสมจะใช้ในโครงการมีความเสี่ยงต่ำ แต่อย่างไรก็ดี ที่ปรึกษาจะเปรียบเทียบความเหมาะสมในทุกรูปแบบ รวมไปถึง PPP Net Cost ที่เอกชนเป็นผู้จัดเก็บรายได้ รับความเสี่ยง และจ่ายค่าสัมปทานหรือส่วนแบ่งให้รัฐ
“โครงการนี้ท้ายที่สุดอาจจะเป็น กทม.บริหารเอง และจ้างเอกชนเดินรถ หรืออาจจะให้เอกชนทำทั้งหมด หรืออาจจะโอนย้ายให้กระทรวงคมนาคม นำไปบริหารจัดการก็มีโอกาสเป็นไปได้หมด และมองว่าไม่ว่าจะออกมาเป็นรูปแบบใดก็ไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชน เพราะขณะนี้กำลังจะมี พ.ร.บ.ตั๋วร่วม"
ดังนั้น ในอนาคตเมื่อโครงการนี้เริ่ม และไม่ว่าใครเป็นผู้บริหารจัดการ ประชาชนก็สามารถเข้าออกระบบรถไฟฟ้าเชื่อมต่ออย่างสะดวก
ส่วนในกรณีที่การเปิดกว้างให้เอกชนยื่นข้อเสนอร่วมประมูลครั้งนี้ ทางเอกชนผู้รับสัมปทานในปัจจุบันจะเป็นผู้มีข้อได้เปรียบหากเทียบกับเอกชนรายอื่นนั้น ก็คงต้องรอดูข้อเสนอของแต่ละหลาย หรือท้ายที่สุดแนวทางเหมาะสมอาจจะเป็นการเจรจากับเอกชนผู้รับสัมปทานรายเดิม เพื่อให้การให้บริการเกิดความต่อเนื่อง เงื่อนไขนี้ก็อยู่ในแนวทางการศึกษาความเหมาะสม
BTSC ส่งสัญญาณสนใจร่วมวงชิงเค้ก
ทั้งนี้ โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนหลัก ช่วงหมอชิต-อ่อนนุช และช่วงสนามกีฬาแห่งชาติ-สะพานตากสิน ซึ่งสัญญาสัมปทานจะสิ้นสุดในปี 2572 แต่ยังคงมีสัญญาจ้างเดินรถกับบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTSC ระหว่างปี 2572-2585 เช่นเดียวกับส่วนต่อขยายที่ 1 และต่อขยายที่ 2 มีสัญญาสัมปทานจ้างเดินรถสิ้นสุดในปี 2585
ดังนั้นเอกชนที่ได้รับสัมปทานบริหารในโครงการนี้จำเป็นต้องจ่ายเงินค่าตอบแทนเดินรถให้กับ BTSC ตามสัญญากำหนด
ที่ปรึกษาโครงการ กล่าวด้วยว่า ผู้ที่ได้สิทธิในการบริหารโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนหลักหลังจากปี 2572 ยังจำเป็นต้องจ่ายค่าผลตอบแทนให้กับ BTSC ส่วนสัญญารถไฟฟ้าสายสีเขียว ต่อขยายที่ 1 และต่อขยายที่ 2 ไม่ได้เกี่ยวเนื่องกับสัญญาในโครงการนี้
ดังนั้น จะยังคงเป็นหน้าที่ของ กทม.ในการจ่ายค่าตอบแทนจ้างเดินรถ แต่เบื้องต้นมั่นใจว่าโครงการนี้จะได้รับความสนใจจากนักลงทุน เพราะโครงการมีความเสี่ยงต่ำ ผู้รับสัมปทานมีโอกาสสร้างรายได้สูง แม้จะต้องจ่ายค่าจ้างเดินรถให้กับเอกชนตามสัญญาเดิมก็ตาม
แหล่งข่าวจาก BTSC กล่าวกับกรุงเทพธุรกิจ ว่า บริษัทสนใจในโครงการบริหารรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนหลักตามที่ กทม.จะดำเนินการเปิดให้ร่วมลงทุน แต่ต้องรอพิจารณาแนวทาง และผลการศึกษาที่ชัดเจนก่อนว่าเหมาะสมต่อการเข้าร่วมประมูลหรือไม่ เพราะไม่ว่าจะมีแนวทางดำเนินการอย่างไรก็ยังไม่ได้เป็นผลกระทบต่อบริษัท เนื่องจากหลังปี 2572 บริษัทยังมีสัญญาจ้างเดินรถที่จะครอบคลุมไปถึงปี 2585
แนวทางต่อสัญญาสัมปทานไม่เป็นผล
รายงานข่าวระบุว่า การพิจารณาสัญญาต่อสัมปทานให้ BTSC มีความพยายามที่จะดำเนินการตั้งแต่ปี 2563 โดยเมื่อมีคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อวันที่ 11 เม.ย.2562 ให้กระทรวงมหาดไทยตั้งคณะกรรมการดูแลการต่อสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว 30 ปี รวมทั้งร่างสัญญาต่อสัมปทานได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) ในเดือนพ.ย.2562
ทั้งนี้ เมื่อมีการนำวาระการต่อสัญญาเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ถูกตีกลับให้หาข้อมูลเพิ่ม รวมทั้งกระทรวงมหาดไทยขอถอนวาระเองตลอดปี 2563-2564 จนกระทั่งมีการเสนอ ครม.เมื่อวันที่ 19 ต.ค.2564 กระทรวงมหาดไทยขอถอนวาระหลังจากกระทรวงคมนาคมมีข้อท้วงติงเพิ่ม 4 ข้อ
สำหรับการท้วงติงดังกล่าว นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม จากพรรคภูมิใจไทย ขณะนั้นยืนยันว่ากระทรวงคมนาคม มีข้อทักท้วงที่ต้องการให้กรุงเทพมหานคร ตอบคำถาม
กทม.ค้างค่าจ้างเดินรถ 3.4 หมื่นล้าน
ขณะที่สัญญาจ้างเดินรถไฟฟ้าและซ่อมบำรุง BTSC ได้ฟ้องให้ กทม.และบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด แล้ว 2 คดี โดยคดีแรกเป็นค่าจ้างส่วนต่อขยาย 1 เดินรถ พ.ค.2562 - พ.ค.2564 และส่วนต่อขยาย 2 เดินรถ เม.ย.2560 - พ.ค.2564 จำนวนเงิน 14,476 ล้านบาท ซึ่งศาลปกครองชี้ว่าเป็นสัญญาชอบด้วยกฎหมาย
สำหรับคดีดังกล่าวสิ้นสุดแล้วโดย กทม.ชำระให้สำนักงานบังคับคดี สำนักงานศาลปกครองแล้ว เมื่อวันที่ 26 ธ.ค.2567 ตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด เมื่อวันที่ 26 ก.ค.2567
ทั้งนี้ปัจจุบัน กทม. ยังมีหนี้ค้างชำระค่าจ้างให้บริการเดินรถ และซ่อมบำรุงส่วนต่อขยายโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว รวมกว่า 3.4 หมื่นล้านบาท ที่สภากรุงเทพมหานคร เห็นชอบในหลักการในการตั้งงบประมาณปี 2569 เพื่อชำระให้ BTSC
หนี้ก้อนที่ 2 ค่าจ้าง O&M รถไฟฟ้าส่วนต่อขยายที่ 1 และ 2 ตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย.2564 ถึงวันที่ 20 พ.ย.2565 รวม 11,811 ล้านบาท ซึ่งศาลปกครองกลางตัดสินวันที่ 29 ก.ย.2568 ให้ กทม.ชำระภายใน 180 วันนับแต่วันที่คดีถึงที่สุด
หนี้ก้อนที่ 3 ค่าจ้าง O&M รถไฟฟ้าส่วนต่อขยายที่ 1 และ 2 ตั้งแต่ พ.ย.2565 - ธ.ค.2567 รวม 17,596 ล้านบาท คิดเป็นเงินต้น 15,762 ล้านบาท และดอกเบี้ย 1,833 ล้านบาท (ยังไม่ฟ้องคดี)
หนี้ก้อนที่ 4 ค่าจ้าง O&M รถไฟฟ้าส่วนต่อขยายที่ 1 และ 2 ตั้งแต่ 1 ม.ค.2568 - พ.ค.2568 รวม 3,697 ล้านบาท คิดเป็นเงินต้น 3,650 และดอกเบี้ย 46.78 ล้านบาท (ยังไม่ฟ้องคดี)
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







