ส่องมาตรการ“Quick Big Win”พาณิชย์ ขานรับนโยบาย”ศุภจี สุธรรมพันธุ์”

พาณิชย์ ขานรับนโยบาย“Quick Big Win” รมว.พาณิขย์ "ศุภจี สุธรรมพันธุ์ " เร่งให้เกิดผลสำเร็จภายใน 4 เดือน ก่อนรัฐบาลยุบสภาปลายเดือนม.ค.ปีหน้า
KEY
POINTS
- กระทรวงพาณิชย์ขานรับนโยบาย “Quick Big Win” ของรัฐมนตรีศุภจี สุธรรมพันธุ์ โดยสั่งการให้ทุกหน่วยงานในสังกัดเร่งดำเนินมาตรการเพื่อสร้างผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว
- กรมการค้าภายในมุ่งลดค่าครองชีพประชาชนผ่านมหกรรมธงฟ้า ควบคุมราคายาและเวชภัณฑ์ ควบคู่กับการรักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตร
- ด้านการค้าระหว่างประเทศ เร่งรัดการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) ขยายตลาดส่งออกใหม่ และปรับปรุงกระบวนการทางการค้า เช่น การตอบโต้การทุ่มตลาด (AD) ให้รวดเร็วขึ้น
- ส่งเสริมผู้ประกอบการไทย โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเดินหน้าปราบปรามธุรกิจนอมินี และกรมทรัพย์สินทางปัญญาเร่งสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าท้องถิ่นผ่านการขึ้นทะเบียน GI
เมื่อวันที่ 1 ต.ค. นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้ประชุมมอบนโยบายแก่ผู้บริหารระดับสูง ข้าราชการ พาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ และทูตพาณิชย์ประจำสถานทูตไทยในต่างประเทศ ผ่านระบบออนไลน์ เพื่อขับเคลื่อนภารกิจของกระทรวงพาณิชย์ในระยะสั้นและระยะยาว
โดยได้มอบ 7 นโยบายสำคัญ ภายใต้แนวทาง “Quick Big Win”ที่มุ่งให้เกิดผลสัมฤทธิ์ทางเศรษฐกิจโดยเร็ว โดยยึดหลัก ร่วมมือ–โปร่งใส–ประชาชนได้ประโยชน์สูงสุด
ล่าสุดหลายหน่วยงานในสังกัดของกรมออกมาขานรับนโยบาย “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์” กันถ้วนหน้า
เริ่มจากกรมการค้าภายใน ที่เป็นกรมหลักในการดูแลปากท้องของประชาชน การลดค่าครองชีพ ได้ออกมาตรการรองรับนโยบายลดค่าครองชีพ คือ การเดินหน้าจัดมหกรรมธงฟ้า 1,300 ครั้งทั่วประเทศ เริ่มตั้งแต่เดือนต.ค.68 ที่จังหวัดศรีสะเกษ และจัดต่อเนื่องในจังหวัดต่าง ๆ ตลอดทั้งปี 2569
รวมทั้งมหกรรมลดราคาสินค้าในช่วงเทศกาลสำคัญ เช่น ปีใหม่ เทศกาลกินเจ ตรุษจีน คาดว่าจะลดรายจ่ายประชาชนได้กว่า 5,000 ล้านบาทต่อปี
การลงนามบันทึกความร่วมมือ (MOU) กับสมาคมโรงพยาบาลเอกชน เพื่อเปิดเผยราคายาและเวชภัณฑ์ก่อนการชำระเงิน ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถเลือกซื้อยาจากร้านขายยาภายนอกได้ คาดว่าจะช่วยลดค่าครองชีพกว่า 32,400 ล้านบาทต่อปี รวมทั้งควบคุมโครงสร้างต้นทุนเวชภัณฑ์ เช่น ผ้าก๊อช สำลี แผ่นแผล ถุงมือยาง ชุดตรวจ ATK ลดค่าครองชีพเพิ่มอีก 1,100 ล้านบาท
ส่วนการรักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตร ในพืชเศรษฐกิจสำคัญคือ ข้าว จะเร่งส่งออก ชะลอการขายในประเทศ เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ นำมาตรการคุมการนำเข้าแก้ปัญหาฝุ่น P.M กำหนดราคารับซื้อในประเทศ ส่วนมันสำปะหลัง ส่งเสริมการแปรรูปเพิ่มมูลค่ส ผลักดันการใช้พันธุ์ต้านทานโรคใบด่าง กำกับควบคุมการนำเข้า ปาล์มน้ำมัน ได้กำหนดราคาให้เหมาะสม
ขณะที่ผลไม้และพืชเศรษฐกิจอื่นๆ เช่น กระเทียม หอมแดง และหอมใหญ่ จะเชื่อมโยงซื้อขายผลผลิตล่วงหน้า กระจายผลผลิตออกนอกพื้นที่เก็บเกี่ยว และจัดกิจกรรมรณรงค์การบริโภคผลไม้ไทย เพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ
นอกจากนี้ยังมีแนวทางในการช่วยเหลือเกษตรกรในการจัดทำตัวอย่างการปลูกพืชเศรษฐกิจที่มีตลาดรองรับทดแทน โดยกรมได้เริ่มแปลงตัวอย่างกับสินค้ากล้วยหอม ในอำเภอเสิงสาง จังหวัดนครราชสีมา
กรมการค้าต่างประเทศ ที่รับผิดชอบการป้องกันการสวมสิทธิถิ่นกำเนิดสินค้าไทย โดยเป็นหน่วยงานเดียวที่ออกหนังรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (C/O) จะเร่งปรับปรุงรายการสินค้าเฝ้าระวังไปสหรัฐจาก 49 รายการเป็น 65 รายการ ปรับปรุงระบบตรวจถิ่นกำเนิดสินค้า ออกประกาศแนวทางการส่งออกไปสหรัฐ
นอกจากนี้ จะเร่งปรับปรุงกระบวนการตอบโต้การทุ่มตลาด (AD) ที่เคยใช้เวลา 12–18 เดือน เหลือเพียง 9 เดือน ด้วยการนำ AI มาช่วยตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูล ถือเป็น Quick Win ที่ช่วยผู้ประกอบการไทยโดยตรง
กรมส่งเสริมการค้าต่างประเทศ ที่มีความสำคัญในด้านการส่งออกของไทย โดยใน 4 เดือน จะเร่งขยายตลาดใหม่เพิ่มเพื่อรองรับมาตรการภาษีทรัมป์ โดยเน้นตลาดเอเชียใต้ เช่น อินเดีย ตลาดตะวันออกกลาง แอฟริกา ลาตินอเมริกา การเจรจาการค้ากับจีน เจาะลึกเป็นรายมณฑล เช่น ฉงชิ่ง รวมถึงเวียดนาม อินเดีย รวมทั้งการเพิ่มช่องทางและโอกาสทางการค้า โดยใช้อีคอมเมิร์ซทั้งไทยและต่างประเทศ
การพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการ การเพิ่มมูลค่าสินค้าและบริการ ร่วมมือกับสถาบันการเงินเข้าถึงเงินทุนขยายตลาด ทั้งนี้คาดว่า การส่งออกสินค้าไทยในปีนี้จะขยายตัวได้ 6-7% เมื่อเทียบปี 67 จากเป้าหมายที่โต 2-3% คิดเป็นมูลค่ากว่า 12 ล้านล้านบาท จากปีก่อนที่ได้ประมาณ 10 ล้านล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์
กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ จะเร่งเจรจาความตกลงการค้าเสรีหรือเอฟทีเอ เพื่อเสริมศักยภาพการแข่งขันของไทย โดยในปี 68 จะเร่งรัดเจรจาเอฟทีเอไทย-สหภาพยุโรป เอฟทีเอไทย-เกาหลีใต้ ให้เสร็จสิ้นในปีนี้ให้ได้ และยังมีแผนเปิดการเจรจาเอฟทีเอกับตลาดศักยภาพใหม่ทั้งในและภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกา
ขณะที่เอฟเอไทย-เอฟตาที่ลงนามไปแล้วคาดว่าจะสามารถใช้ประโยชน์จากเอฟทีเอฉบับนี้ได้ในช่วงกลางปี 69 ซึ่งจะช่วยให้การส่งออกของไทยไปเอฟตาเพิ่มขึ้น 38 %
ขณะที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้าขานรับนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ที่เน้นป้องกันและปราบปรามธุรกิจอำพรางของคนต่างด้าว (นอมินี) โดยตั้งหน่วยงานภายในระดับกองและแต่งตั้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามธุรกิจผิดกฎหมาย เพื่อกวาดล้างธุรกิจที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ล่าสุดได้มีการประชุมได้กำหนดกรอบนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านการป้องกันและปราบปรามธุรกิจที่หลีกเลี่ยงหรือฝ่าฝืนกฎหมาย
รวมทั้งมีมติแต่งตั้งคณะอนุกรรมการด้านการป้องกันการจดทะเบียนธุรกิจ คณะอนุกรรมการด้านการวิเคราะห์ข้อมูลธุรกิจ คณะอนุกรรมการด้านการตรวจสอบบัญชีธุรกิจ และคณะอนุกรรมการด้านกฎหมาย เพื่อดำเนินการตามภารกิจในแต่ละด้าน ทั้งนี้ หากพบการกระทำความผิดจะประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินคดีแก่ผู้กระทำความผิดให้ถึงที่สุด
กรมทรัพย์สินทางปัญญา ก็ไม่น้อยหน้า เดินหน้าเร่งเสริมแกร่งผู้ประกอบการไทย ผ่านการสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าท้องถิ่นและใช้ GI เป็นทางรอดให้กับ SMEs พร้อมยกระดับศักยภาพผู้ประกอบการให้เข้มแข็ง แข่งขันได้ ด้วยทรัพย์สินทางปัญญาตามนโยบายของรัฐมนตรี โดยแนวทางที่กรมฯ วางไว้คือ การเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะผู้ประกอบการท้องถิ่นและ SMEs ผ่านกลไกการส่งเสริมสินค้า GI ไทย ที่ปัจจุบันมีจำนวน 239 สินค้า ครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศ สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจในปี 2568 กว่า 82,000 ล้านบาท และเพื่อต่อยอด ให้เห็นผล Quick Win อย่างเป็นรูปธรรมภายใน 4 เดือน
นอกจากนี้จะเร่งต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้า GI ที่ขึ้นทะเบียนแล้ว ทั้งการจัดทำระบบควบคุมคุณภาพสินค้า การพัฒนาภาพลักษณ์สินค้าสู่ระดับพรีเมียม และการขยายช่องทางการตลาดทั้งในและต่างประเทศ โดยดำเนินการควบคู่ไปกับการส่งเสริมการขึ้นทะเบียน GI ในสินค้าใหม่ๆ ซึ่งรวมถึงว่าที่ GI 5 รายการ ได้แก่ ทุเรียนชุมพร กกเหล่าพัฒนา (นครพนม) ไก่เบตงยะลา ผ้าทอนาหมื่นศรี (ตรัง) และมะยงชิดแม่ย่าสุโขทัย
การส่งเสริมการนำนวัตกรรมและทรัพย์สินทางปัญญามาใช้ประโยชน์ และตอบโจทย์ความท้าทายใหม่ๆทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมทั้งผลักดันให้ผู้ประกอบการสามารถนำ ทรัพย์สินทางปัญญามาใช้เป็นกลยุทธ์ในการขับเคลื่อนธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อสร้างแต้มต่อทางการค้าและสร้างรายได้ให้ผู้ประกอบการ SMEs ท่ามกลางภาวะการแข่งขันทางการค้าที่เข้มข้นในปัจจุบัน
"มาตรการ Quick Big Win" ของแต่ละหน่วยงานของกระทรวงพาณิชย์ ได้ประกาศเร่งดำเนินการทันที เพื่อให้การดำเนินการตามนโยบายของ”ศุภจี สุธรรมพันธุ์ “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เพื่อให้สำเร็จผลโดยเร็ว เนื่องจากรัฐบาลชุดนี้มีระยะเวลาจำกัดเพียง 4 เดือน ก่อนยุบสภาในวันที่ 31 ม.ค.69







