“DITP”นำทัพเอกชนบุกตลาด 4 ภูมิภาคช่วยผู้ส่งออกรับมือภาษีทรัมป์

“DITP”นำทัพเอกชนบุกตลาด 4 ภูมิภาคช่วยผู้ส่งออกรับมือภาษีทรัมป์

“กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ” โชว์ผลสำเร็จโครงการ “บุกตลาดศักยภาพใหม่รับมือการค้าโลก”นำทัพเอกชนบุกตลาด 4 ภูมิภาค สร้างรายได้เข้าประเทศกว่า 3,000 ล้านบาท หนุนห่วงโซ่อุตสาหกรรมไทย ช่วยผู้ประกอบการแข็งแกร่ง เตรียมลุยต่ออีก 3 คณะช่วง 3 เดือนสุดท้าย ไปจีน เวียดนาม และมุมไบ

KEY

POINTS

  • กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) จัดโครงการ “Special Task Force” เพื่อช่วยเหลือ"ผู้ส่งออก"ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ โดยการบุกเบิกตลาดศักยภาพใหม่
  • DITP ร่วมกับภาคเอกชนนำคณะผู้แทนการค้าบุกตลาดเป้าหมายใน 4 ภูมิภาค ได้แก่ ลาตินอเมริกา ตะวันออกกลาง แอฟริกา และอินเดีย
  • โครงการประสบความสำเร็จสูงกว่าเป้าหมาย โดยสามารถสร้างมูลค่าการสั่งซื้อได้ถึง 3,028.56 ล้านบาท เพื่อช่วยพยุงเศรษฐกิจและการจ้างงาน
  • มีแผนเดินหน้าบุกตลาดใหม่เพิ่มเติมในช่วงท้ายปีงบประมาณ 2568 ในจีนตะวันตก เวียดนาม และอินเดีย เพื่อผลักดันการส่งออกอย่างต่อเนื่อง

 กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP)กระทรวงพาณิชย์  จัดทำโครงการ “บุกตลาดศักยภาพใหม่รับมือการค้าโลก หรือ“Special Task Force: STF” เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและช่วยพยุงระบบเศรษฐกิจ กระจายเม็ดเงินลงอุตสาหกรรม สร้างคำสั่งซื้อในในตลาดใหม่ และรักษาการจ้างงานในหลายภาคส่วน ทั้งภาคการส่งออกและห่วงโซ่อุปทานที่เกี่ยวข้องเพื่อรับมือกับกับนโยบายภาษีสหรัฐ

โดยได้รับจัดสรรงบกลางตามแผนงานกระตุ้นเศรษฐกิจในปีงบประมาณ 2568 วงเงิน  30 ล้านบาท  

ทั้งนี้โครงการ Special Task Force เป็นมาตรการที่ช่วยผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีทรัมป์ โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ  ได้หารือร่วมกับภาคเอกชน ได้แก่ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และ สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย คัดเลือกตลาดเป้าหมายที่เป็นตลาดศักยภาพใหม่ใน 4 ภูมิภาค โดยการจัดคณะผู้แทนการค้า 5 คณะ ครอบคลุมสินค้าเป้าหมายเฉพาะกลุ่ม มีผู้ประกอบการ 179 รายเข้าร่วม มีเป้าหมายสร้างมูลค่าการเจรจาการค้าผ่านกิจกรรม  ราว 1,600 ล้านบาท

นางสาวสุนันทา กังวาลกุลกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า  ผลจากการดำเนินการที่ผ่านมาของโครงการ“Special Task Force: STF”ถือว่าประสบความสำเร็จสูงมาก สามารถสร้างมูลค่าคำสั่งซื้อ 3,028.56 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้เกือบ 2 เท่า ถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการกระจายรายได้ลงสู่อุตสาหกรรมและช่วยพยุงการจ้างงานในห่วงโซ่อุปทานของประเทศ

“DITP”นำทัพเอกชนบุกตลาด 4 ภูมิภาคช่วยผู้ส่งออกรับมือภาษีทรัมป์

โดยคณะผู้แทนการค้า 5 คณะ ประกอบด้วย

1.ลาตินอเมริกา (อาร์เจนตินา ชิลี บราซิล) กลุ่มสินค้าชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องจักร วัสดุก่อสร้าง อาหารกระป๋องและขนมขบเคี้ยว มูลค่า 595.47 ล้านบาท

2.ตะวันออกกลาง (สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) กลุ่มสินค้าอาหารอนาคต อาหารสัตว์และอาหารสัตว์เลี้ยง มูลค่า 207.33 ล้านบาท

3.แอฟริกา (มาลี เซเนกัล โกตดิวัวร์) กลุ่มสินค้าเครื่องจักรกลการเกษตรและเครื่องจักรแปรรูป มูลค่า 796.76 ล้านบาท

4.อินเดีย กลุ่มเฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร วัสดุก่อสร้าง และสินค้าโครงการใหญ่ มูลค่า 1,329 ล้านบาท และกลุ่มสินค้าอาหารและอุตสาหกรรมผลิตอาหาร มูลค่า 100 ล้านบาท

“ผลตอบรับจากหลายตลาดเป็นสิ่งที่เราเองก็นึกไม่ถึง เช่น ลาตินอเมริกา โดยเฉพาะอาร์เจนตินาและชิลี ผู้ประกอบการประทับใจมาก ไม่คิดว่าตลาดชิลีจะสนใจสินค้าไทยมากขนาดนี้ มีการเรียกร้องให้เราไปขยายผลต่อ ทั้งตลาดแคริบเบียนและอเมริกากลาง เช่น โคลัมเบีย เปรู เอกวาดอร์ ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง"นางสาวสุนันทา กล่าว

ขณะที่ภาคเอกชนยังสะท้อนว่า การเดินทางไปเปิดตลาดในลักษณะไปเป็นทีมกับภาครัฐทำให้เกิดความมั่นใจและสร้างพลังร่วมหลายรายบอกตรงกันว่าถ้าไปเองคงลำบาก

สำหรับโครงการ“Special Task Force: STF”  ถือเป็นโครงการที่ประสบความสำเร็จและได้รับผลตอบรับที่ดี โดยใช้งบประมาณเพียง 33 ล้านบาท แต่สร้างผลลัพธ์เชิงเศรษฐกิจสูงถึง 3,028.56 ล้านบาท ช่วยให้ผู้ประกอบการกว่า 149 รายสามารถยืนหยัดได้ และยังพยุงการจ้างงานในซัพพลายเชนที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก ทั้งด้านโลจิสติกส์ บรรจุภัณฑ์ และอุตสาหกรรมต่อเนื่อง

สำหรับช่วง 4 เดือนสุดท้ายของปี 2568  กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ วางแผนบุกตลาดใหม่เพิ่มเติมอีก 3 คณะตามนโยบาย “Quick Big Win” ของนางศุภจี สุธรรมพันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์  ที่ต้องการผลักดันการค้าระหว่างประเทศ เพิ่มมูลค่าการส่งออก รักษาตลาดเดิม และบุกตลาดใหม่ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ได้แก่

1.จีนตะวันตก (เฉิงตู ฉงชิ่ง สิบสองปันนา) กลุ่มสินค้าอาหาร เครื่องดื่ม และอาหารสัตว์เลี้ยง

2.อาเซียน (เวียดนาม) กลุ่มสินค้าแม่และเด็ก

3.อินเดีย (มุมไบ) กลุ่มสินค้าและบริการเพื่อสิ่งแวดล้อม

คาดว่าจะสร้างมูลค่าเพิ่มกว่า 190 ล้านบาท นอกจากนี้เตรียมจัดกิจกรรมจับคู่เจรจาธุรกิจแบบสุดพิเศษ โดยเชิญผู้นำเข้า ผู้ซื้อจากสหรัฐฯยักษ์ใหญ่ และเป็นหน้าใหม่ มาเจรจาธุรกิจกับผู้ผลิต ผู้ส่งออกรายใหญ่ของไทย เพื่อเพิ่มคำสั่งซื้อ และช่องทางการขายใหม่ๆ

"การส่งออกสินค้าไทยในปีนี้จะขยายตัวได้  6-7% เมื่อเทียบปี 67 จากเป้าหมายที่โต 2-3% คิดเป็นมูลค่ากว่า 12 ล้านล้านบาท จากปีก่อนที่ได้ประมาณ 10 ล้านล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์"นางสาวสุนันทา ระบุ