'ชัชชาติ' จ่อปิดหนี้ BTS 3.2 หมื่นล้าน สภา กทม.อนุมัติหลักการตั้งงบ

สภา กทม.รับหลักการ ไฟเขียว กทม. ปิดบัญชีจ่ายหนี้ BTS งานค่าจ้างเดินรถรถไฟฟ้าสายสีเขียว รวมทั้งหมด 3.2 หมื่นล้านบาท หวังลดภาระดอกเบี้ยในอนาคต ตั้งคณะกรรมการวิสามัญพิจารณา คาดแล้วเสร็จภายใน 45 วัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (1 ต.ค. 68) การประชุมสภากรุงเทพมหานคร สมัยประชุมสามัญ สมัยที่สี่ (ครั้งที่ 1) ประจำปี พ.ศ. 2568 ณ ห้องประชุมสภากรุงเทพมหานคร อาคารไอราวัตพัฒนา ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร 2 ดินแดง โดยมีนายวิพุธ ศรีวะอุไร ประธานสภากรุงเทพมหานคร เป็นประธานการประชุม
นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ยื่นญัตติเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 พ.ศ. ..... จำนวนไม่เกิน 32,625,106,200 บาท เป็นรายจ่ายพิเศษ จ่ายจากเงินสะสมจ่ายขาดของกรุงเทพมหานคร เพื่อใช้ชำระหนี้รถไฟฟ้า BTS ตามที่คณะกรรมการวิสามัญเพื่อศึกษาปัญหาของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว
โดย สภา กทม. ได้รายงานผลการศึกษาโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวในส่วนค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M) ในส่วนที่กรุงเทพมหานครยังไม่ได้ชำระหนี้ ซึ่งบางส่วนอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองและมีแนวโน้มอย่างสูงว่าการพิจารณาจะเป็นไปในแนวทางเดียวกับคดีที่ 1 และบางส่วนได้ถึงกำหนดชำระเงินแล้ว ทั้งสองส่วนมีภาระดอกเบี้ยสูง ซึ่งจะกระทบต่อสถานะทางการเงินของกรุงเทพมหานคร
ดังนั้น เพื่อลดภาระดอกเบี้ยที่จะเกิดขึ้นและไม่ให้เกิดความเสียหายต่อกรุงเทพมหานคร คณะกรรมการวิสามัญฯ มีข้อเสนอให้ผู้บริหาร กทม. เร่งรัดดำเนินการตามผลเจรจาเพื่อให้เกิดผลประโยชน์สูงสุดแก่กรุงเทพมหานคร
ทั้งนี้ กรุงเทพมหานครได้มอบให้ บจก. กรุงเทพธนาคม เจรจากับ บมจ. ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานคร ผลจากการเจรจาโดยสรุปคือ กรณี บจก. กรุงเทพธนาคม ชำระหนี้ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุงฯ พร้อมดอกเบี้ย ภายในเดือน ต.ค. 2568 โดยให้กรุงเทพมหานครชำระโดยตรงกับ บมจ. ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานคร เพื่อลดขั้นตอนและภาระทางการเงิน
นอกจากนี้ พิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ย ในช่วงตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2568 - วันที่ 30 พฤศจิกายน 2568 จาก MLR บวก 1% ให้เหลือเพียง MLR ซึ่งจะช่วยลดภาระทางดอกเบี้ยได้ประมาณ 286.4 ล้านบาท
อย่างไรก็ดี ภายหลังศาลปกครองได้มีคำพิพากษาให้กรุงเทพมหานคร และ บจก. กรุงเทพธนาคมชำระหนี้ดังกล่าว หน่วยงานจึงได้เสนอขอตั้งงบประมาณในครั้งนี้ โดยคำนึงยอดดอกเบี้ยที่ต้องชำระจนถึงเดือน พ.ย. 2568 รวม 32,625,106,200 บาท โดยในที่ประชุมผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครได้รายงานฐานะเงินสะสมของกรุงเทพมหานครเพื่อให้ที่ประชุมสภากรุงเทพมหานครประกอบการพิจารณาด้วย
นายนภาพล จีระกุล ส.ก.เขตบางกอกน้อย กล่าวว่า ดีใจที่เห็นฝ่ายบริหารยื่นญัตตินี้เข้ามาเนื่องจากเป็นเรื่องที่กังวลมาตลอดว่ากรุงเทพมหานครจะต้องแบกภาระหนี้รถไฟฟ้า ที่ผ่านมากรุงเทพมหานครได้ต่อสู้ตามกระบวนการของศาลอย่างที่สุดแล้ว
นายสุทธิชัย วีรกุลสุนทร ส.ก.เขตจอมทอง กล่าวว่าตนก็รู้สึกยินดีเช่นกันที่ฝ่ายบริหารเสนอญัตตินี้เข้ามาเนื่องจากภาระดอกเบี้ยมีแต่เพิ่มขึ้นทุกวัน หากล่าช้าเพียง 1เดือนดอกเบี้ยก็จะสูงกว่า 200 ล้านบาท และความเสียหายกับกรุงเทพมหานครก็จะสูงขึ้นตาม
ผู้ว่าฯ ชัชชาติ กล่าวว่า หลังจากมีคำสั่งศาลออกมาก็ทำให้กรุงเทพมหานครมั่นใจและมีหลักในการทำงานต่อได้ และจะทำทุกอย่างด้วยความรอบคอบ ที่ผ่านมามีขั้นตอนในกระบวนการเจรจากว่าจะมีคำสั่งศาลออกมา และฝ่ายบริหารได้พยายามทำอย่างดีที่สุดแล้ว อาจไม่ถูกใจทุกคนและไม่รวดเร็ว แต่ทำด้วยความรอบคอบ เราเคารพคำตัดสินของศาลซึ่งจะน้อมรับและปฏิบัติตาม
สำหรับเรื่องค่าใช้จ่ายในอนาคต ตามนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท ของรัฐบาลเดิม จากการหารือกับกระทรวงคมนาคมรัฐบาลจะจ่ายในส่วนของค่าเดินรถ แต่ขณะนี้ไม่มีแล้ว จึงจำเป็นต้องออกเป็นข้อบัญญัติและกฎหมายที่เกี่ยวข้องรวมถึงการให้สภากรุงเทพมหานครพิจารณาต่อไป
จากนั้นที่ประชุมสภากรุงเทพมหานครมีมติรับหลักการ และให้ตั้งคณะกรรมการวิสามัญพิจารณา จำนวน 24 ท่าน กำหนดพิจารณาแล้วเสร็จภายใน 45 วัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปัจจุบัน กทม. ยังมีหนี้ค้างชำระค่าจ้างให้บริการเดินรถ และซ่อมบำรุงส่วนต่อขยายโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว รวมกว่า 3 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วย
หนี้ก้อนที่ 2 ค่าจ้าง O&M รถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยายที่ 1 และ 2 ตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย.2564 ถึงวันที่ 20 พ.ย.2565 รวม 11,811 ล้านบาท ซึ่งศาลปกครองกลางตัดสินวันที่ 29 ก.ย.2568 ให้ กทม.ชำระภายใน 180 วันนับแต่วันที่คดีถึงที่สุด
หนี้ก้อนที่ 3 ค่าจ้าง O&M รถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยายที่ 1 และ 2 ตั้งแต่ พ.ย.2565 - ธ.ค.2567 รวม 17,596 ล้านบาท คิดเป็นเงินต้น 15,762 ล้านบาท และดอกเบี้ย 1,833 ล้านบาท(ยังไม่มีการฟ้องคดี)
หนี้ก้อนที่ 4 ค่าจ้าง O&M รถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยายที่ 1 และ 2 ตั้งแต่ 1 ม.ค.2568 - พ.ค.2568 รวม 3,697 ล้านบาท คิดเป็นเงินต้น 3,650 และดอกเบี้ย 46.78 ล้านบาท (ยังไม่มีการฟ้องคดี)







