'ซีพี' ระทึกจ่อล้มแก้สัญญาไฮสปีด 'พิพัฒน์' ค้านสร้างไปจ่ายไป

“พิพัฒน์” ล้มแผนแก้สัญญา “ไฮสปีดสามสนามบิน” ค้าน “สร้างไปจ่ายไป” เตรียมนัดถก 3 ฝ่าย “ซีพี - สกพอ. - รฟท.” เพื่อผ่าทางตันโครงการ ยันต้องได้ข้อสรุปภายใน 4 เดือน หลังโครงการนี้ล่าช้ามากกว่า 6 ปี เผยแผนสำรองขยายทางคู่จากแหลมฉบัง - อู่ตะเภา ชี้ใครขอยกเลิกต้องรับผิดชอบความเสียหาย
KEY
POINTS
- "พิพัฒน์" รมว.คมนาคม คัดค้านการแก้ไขสัญญารถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ที่จะเปลี่ยนเงื่อนไขการจ่ายเงินเป็นแบบ "สร้างไปจ่ายไป" โดยเห็นว่าผิดหลักการสัญญาเดิม เตรียมนัด 3 ฝ่ายถกหาทางออกใหม่
- ขณะที่การแก้ไขสัญญาดังกล่าวผ่านการพิจารณาจากอัยการสูงสุดแล้ว โดยมีเงื่อนไขให้เอกชน (กลุ่มซีพี) วางหลักประกันเพิ่มเติม เพื่อแลกกับการที่รัฐจะทยอยจ่ายเงินสนับสนุนตามความคืบหน้าของงาน
รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง สุวรรณภูมิ อู่ตะเภา) ลงนามสัญญาร่วมลงทุนระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และบริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด ที่มีเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ถือหุ้นใหญ่ เมื่อวันที่ 24 ต.ค.2562 หลังชนะการประมูล และขอรับเงินร่วมลงทุนจากรัฐต่ำสุด 117,226 ล้านบาท
หลังจากนั้นคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบการเยียวยาผลกระทบจากโควิดที่ทำให้ผู้โดยสารแอร์พอร์ตเรลลิงก์ลดลง เมื่อวันที่ 19 ต.ค.2564 ในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และการเจรจาแก้สัญญาดำเนินการมาต่อเนื่องถึงรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน และรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร แต่ยังไม่อนุมัติร่างแก้ไขสัญญาดังกล่าว
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ภายใต้รัฐบาลนี้มีเวลา 4 เดือน และอีก 4 เดือนเป็นช่วงรักษาการระหว่างการเลือกตั้ง ซึ่งจะแก้ปัญหาโครงการร่วมลงทุนที่ยังค้างคาอยู่ โดยเฉพาะรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ที่ล่าช้ามากกว่า 6 ปี นับตั้งแต่วันประมูล ซึ่งอยู่ช่วงพิจารณาแก้สัญญาที่รัฐบาลชุดก่อนเจรจาไว้และยังไม่สรุป
นายพิพัฒน์ กล่าวว่า การแก้ไขสัญญาปรับเงื่อนไขจากเมื่อครั้งการประมูลกำหนดให้เอกชนต้องสร้างให้เสร็จ และภาครัฐจะจ่ายเงินสนับสนุน ตอนนี้กำลังเจรจาปรับสัญญาเป็น “สร้างไปจ่ายไป” หรือจะจ่ายเป็นงวดๆ เหมือนงวดงานการประมูลทั่วไป ซึ่งมองว่าผิดหลักการสัญญาเดิม และหากเสนอเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) เชื่อว่า ครม.จะไม่อนุมัติ
“จะขอปรับแก้สัญญาจะจ่ายเป็นงวดๆ หรือที่เรียกว่าสร้างไปจ่ายไป เรื่องนี้ถ้าขืนผมทำไปผมคิดว่าผมคงรับไม่ไหวเหมือนกัน และแน่นอนว่าผมจะไม่ทำเรื่องที่ผิดกับกฎหมาย เพราะสัญญาเดิมเขียนไว้แล้วไม่ใช่แบบนี้”
นายพิพัฒน์ กล่าวว่า การแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนจะหารือเอกชนผู้รับสัมปทาน คือ บริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด (กลุ่มซีพี) การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ในเร็ววันนี้เพื่อพิจารณาออก และหากโครงการถึงทางตันจะต้องหารือถึงแนวทางออกที่เป็นไปได้
แผนสำรองขยายทางคู่ถึงอู่ตะเภา
นอกจากนี้ หากโครงการนี้ดำเนินการไม่ได้จะไม่กระทบการใช้บริการ เพราะปัจจุบัน รฟท.มีโครงการรถไฟทางคู่ให้บริการถึงสถานีแหลมฉบัง ดังนั้นขยายแนวเส้นทางต่อเนื่องไปยังอู่ตะเภา และเพิ่มจำนวนขบวนรถเพื่อรองรับการให้บริการได้
“สิ่งที่พูดมาไม่ใช่การเปิดช่องเพื่อให้เอกชนยกเลิกสัญญา แต่กำลังพูดถึงการเจรจาให้กลับไปสู่เงื่อนไขเดิม เพราะหากจะเลิกสัญญาโครงการนี้ก็คงรับผิดชอบไม่ไหวหากเอกชนจะมาฟ้องร้อง”
ดังนั้นเรื่องมีเป้าหมายเพื่อเชิญผู้ประกอบการเอกชน รฟท.และ สกพอ.หารือร่วมกันเพื่อหาแนวทางออก แม้ยอมรับว่า 4 เดือนของรัฐบาลนี้อาจทำให้โครงการนี้เกิดได้ยาก แต่จะเป็นช่วงเวลา 4 เดือนที่เร่งแก้ปัญหาเพื่อหาทางออกร่วมกัน
ชี้ใครขอยกเลิกต้องรับผิดชอบ
แหล่งข่าวจาก สกพอ.กล่าวกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า โครงการนี้ล่าช้ามากว่า 6 ปี แต่วันนี้ถือว่าอยู่ใกล้แล้วเสร็จเพราะคณะทำงาน 3 ฝ่าย ประกอบด้วย สกพอ., รฟท.และเอกชนคู่สัญญาได้เจรจาหาทางออกร่วมกันตลอด อีกทั้งการแก้สัญญา ครม.เห็นชอบหลักการแล้วจึงไม่ได้ทำผิดกฎหมาย
ทั้งนี้หากโครงการไปต่อไม่ได้ โดยทุกฝ่ายมีความเห็นว่าไม่ควรแก้สัญญาก็ต้องหาทางออกร่วมกันใหม่ ส่วนกรณีไปสู่การยกเลิกโครงการนั้น ตามสัญญาได้กำหนดว่าฝ่ายใดยกเลิกสัญญาก็ต้องรับผิดชอบความเสียหาย
สกพอ.ยืนยันการแก้สัญญาไม่ขัดหลักกฎหมาย โดยปัจจุบันได้เจรจาเอกชนปรับรูปแบบการสนับสนุนค่างานโยธาจากเดิมให้เอกชนลงทุนสร้างแล้วรัฐจึงจะจ่ายเงินสนับสนุน ปรับเป็นการสร้างไปจ่ายไป โดยรัฐจ่ายเงินเป็นงวดตามความก้าวหน้างานที่ รฟท.ตรวจรับ และกรรมสิทธิ์สิ่งปลูกสร้างจะทยอยตกเป็นของรัฐทันทีตามงวดการจ่ายเงิน
“การแก้สัญญาร่วมทุนไม่มีเงื่อนไขข้อไหนขัดหลักกฎหมาย เพราะตัวสัญญาที่ปรับแก้ได้ผ่านการพิจารณาจากอัยการสูงสุดแล้ว โดยเฉพาะประเด็นสร้างไปจ่ายไปก็ไม่เอื้อประโยชน์เอกชน เพราะกำหนดให้เอกชนวางหลักประกันเพิ่มเติมเพื่อไม่ให้กระทบกรณีการทิ้งงาน“
ขณะที่สถานะการพิจารณาร่างแก้ไขสัญญาปัจจุบันผ่านการพิจารณาจากอัยการสูงสุดและส่งให้ รฟท.พิจารณาข้อเสนอแนะหลังจากนี้เป็นอำนาจ รฟท.ที่จะเสนอสัญญาฉบับใหม่เข้า ครม.พิจารณาหรือไม่ โดยหากเป็นไปตามนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่ไม่เห็นด้วยกับการแก้สัญญาเป็นสร้างไปจ่ายไปคงต้องรอดูนโยบายที่ออกมาเป็นทางการ และตามที่รัฐบาลกำหนด
ยืนยันอัยการไม่ขัดแก้สัญญาซีพี
รายงานข่าวจาก รฟท.กล่าวว่า ปัจจุบันร่างแก้ไขสัญญาผ่านการพิจารณาจากอัยการสูงสุดแล้ว โดยอัยการสูงสุดมีหนังสือตอบกลับความเห็นส่วนใหญ่มากกว่า 95% เห็นด้วยกับร่างแก้ไขสัญญา และไม่ปรับร่างแก้ไขสัญญา มีเพียงอีก 5% ที่มีความเห็นเพิ่มว่าหากแก้ไขจะทำให้รัฐได้ประโยชน์มากกว่า โดยประเด็นที่อัยการสูงสุดมีความเห็น อาทิ
การชำระค่าสิทธิให้ร่วมลงทุนโครงการแอร์พอร์ตเรลลิงก์ (ARL) ซึ่งแนวทางแก้ไขสัญญากำหนดให้เอกชนแบ่งชำระค่าสิทธิ 10,671.09 ล้านบาท เป็น 7 งวด เป็นรายปี จำนวนเท่ากันและต้องชำระงวดแรก ณ วันที่ลงนามแก้ไขสัญญา ประเด็นนี้อัยการสูงสุดมีความเห็นจากเดิมที่แบ่งจ่าย 7 งวด เป็นแบ่งจ่ายให้เร็วขึ้น
การปรับวิธีการชำระเงินที่รัฐร่วมลงทุนเป็น “สร้างไปจ่ายไป” ทำให้รัฐต้องจ่ายค่าสนับสนุนงานโยธาเร็วขึ้น เป็นการจ่ายตามงวดงาน ตามความก้าวหน้างานก่อสร้างที่ รฟท.ตรวจรับ วงเงินรวม 125,932 ล้านบาท แต่มีเงื่อนไขว่าเอกชนต้องวางหลักประกันเพิ่มเพื่อไม่ให้กระทบกรณีทิ้งงาน
โดยประเด็นปรับวิธีการชำระเงินเป็นสร้างไปจ่ายไปนั้น ทางอัยการสูงสุดมีความเห็นให้เจรจากับเอกชนเพื่อวางหลักประกันควรเร็วขึ้นกว่าเดิม ที่กำหนดไว้ในร่างสัญญาที่แก้ไขว่า เอกชนยังไม่ต้องวางหลักประกันทันที ณ วันลงนามแก้ไขสัญญาร่วมทุน แต่นำหลักประกันดังกล่าวมาวางให้ รฟท.ภายใน 270 วันนับจากลงนามสัญญา หรือเมื่อต้องการเบิกรับเงินสนับสนุนงวดแรกต้องวางหลักประกันทันที
ชี้สร้างไปจ่ายไปรัฐไม่เสียประโยชน์
สำหรับสาระสำคัญของการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนครั้งนี้มี 2 ประเด็นหลัก คือ
1.วิธีชำระเงินที่รัฐร่วมลงทุน ซึ่งบอร์ด รฟท.กำชับว่ารัฐต้องไม่เสียประโยชน์ โดย รฟท.ยืนยันว่าวิธีการนี้ไม่ทำให้รัฐเสียประโยชน์ เนื่องจากการปรับมาเป็นวิธีการสร้างไปจ่ายไป โดยหลังชำระค่าก่อสร้างแล้ว รัฐจะเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในงานโยธา
2.ข้อกำหนดให้เอกชนคู่สัญญา คือ บริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด ต้องวางเงินหลักประกัน หรือ แบงก์การันตีเพิ่มเติมจากกรอบสัญญาเดิมรวมประมาณ 160,000 ล้านบาท เพื่อรับประกันว่าจะก่อสร้างเสร็จภายใน 5 ปี
ทั้งนี้ หลักประกันที่เอกชนต้องนำมาวาง แบ่งเป็นหลักประกันตามสัญญาเดิม 2 ส่วน คือ หลักประกันสัญญา วงเงิน 4,500 ล้านบาท ตลอดสัญญา 50 ปี และหนังสือค้ำประกันผู้ถือหุ้น วงเงิน 149,650 ล้านบาท ตลอดสัญญา 50 ปี
ส่วนหลักประกันเพิ่มเติมที่เอกชนต้องนำมาวางการันตีในการดำเนินโครงการนี้ รวมวงเงินประมาณ 160,000 ล้านบาท ซึ่งจะต้องนำมาวางให้กับ รฟท.ภายใน 270 วันหลังลงนามแก้ไขสัญญา ประกอบด้วย
1.หนังสือค้ำประกันค่าก่อสร้างงานโยธา 125,932.54 ล้านบาท
2.หนังสือค้ำประกันงานระบบ 14,813.49 ล้านบาท
3.หนังสือค้ำประกันคุณภาพเดินรถ 748.25 ล้านบาท
4.หนังสือค้ำประกันค่าสิทธิบริหารรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงก์ (ARL) 10,671 ล้านบาท โดยเมื่อเอกชนลงนามแก้สัญญาต้องชำระค่าสิทธิบริหาร ARL งวดแรกทันที 1,500 ล้านบาท และส่วนที่เหลือทยอยชำระ 7 งวด
“เอกชนยังไม่ต้องวางหลักประกันก้อนใหม่ทันทีที่ลงนามแก้ไขสัญญา โดยใช้เวลาหาหลักประกันได้ และนำมาวางให้ รฟท.ภายใน 270 วันนับจากลงนามหรือเมื่อต้องการเบิกรับเงินสนับสนุนต้องวางหลักประกันทันที โดยการสร้างไปจ่ายไปจะทยอยจ่าย 5 งวด งวดละ 25,000 ล้านบาท เมื่อเอกชนสร้างงานโยธาเสร็จ และส่งงานจะคืนแบงก์การันตีเท่าจำนวนงวดงาน”
เล็งซื้อสัมปทานรถไฟฟ้าคืนรัฐ
นายพิพัฒน์ กล่าวว่า นโยบายเร่งด่วนจะเร่งลดภาระประชาชน คือ มาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายประชาชนทันที ซึ่งเสนอ ครม.ทบทวนกลับไปใช้มติ ครม.วันที่ 29 พ.ย.2567 มีผลขยายมาตรการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ของสายสีแดง และสายสีม่วงถึงวันที่ 30 พ.ย.2568
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีสั่งการให้กระทรวงคมนาคม และกระทรวงการคลัง ตั้งคณะกรรมการร่วมกันศึกษาแนวนโยบายหลังวันที่ 30 พ.ย.68 เป็นต้นไปว่ายังคงนโยบายนี้หรือไม่ หากคงไว้จะทำรูปแบบใด และระยะเวลาเท่าใด โดยต้องเสนอนายกรัฐมนตรีภายในวันที่ 15 พ.ย.68 นี้
ขณะเดียวกัน มีแนวคิดหนึ่งที่เป็นไปได้ คือ การที่รัฐซื้อคืนสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าแต่ละสายกลับมาเป็นของรัฐทั้งหมด แล้วอาจให้เอกชนเช่ากลับไปบริหารจัดการ เพื่อให้การกำหนดนโยบายเป็นไปในทิศทางเดียวกัน อย่างไรก็ตาม แนวคิดนี้เป็นเพียงแนวคิดเบื้องต้นที่ต้องหารือกับกระทรวงการคลังถึงผลกระทบด้านการเงิน
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







