‘เอกนิติ’ มอบนโยบาย ‘Quick Big Win’ กระตุ้นใช้จ่ายดัน GDP ไตรมาส 4 แตะ 1%

"เอกนิติ" มอบนโยบาย “Quick Big Win” เร่งเครื่องยนต์เศรษฐกิจไตรมาส 4 พ้นหล่ม ตั้งเป้า GDP ขยับ 0.2-0.4% กระตุ้นบริโภค
วันที่ 1 ต.ค.2568 นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังการมอบนโยบายให้แก่ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงการคลังว่า เป้าหมายหลักในช่วง 4 เดือน ที่รัฐบาลจะเร่งดำเนินการคือการช่วยผลักดันให้รถยนต์ที่เรียกว่าเศรษฐกิจไทยพ้นจากหล่มและไม่ตกลงเหว เนื่องจากเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4 คาดการณ์ว่าจะมีการชะลอตัวลงอย่างมากหรืออยู่ในภาวะตกท้องช้าง
โดยรัฐบาลจะเร่งขับเคลื่อนนโยบาย “Quick Big Win” แบ่งออกเป็น 5 เสาหลักตามที่ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา โดยเน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นและสร้างผลกระทบระยะยาว
อัดเม็ดเงินกระตุ้นบริโภค 6.6 หมื่นล้าน
สำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่อยู่ในเสาหลักที่ 1 มุ่งเน้นไปที่การขับเคลื่อนเครื่องยนต์ด้านการบริโภคภาคเอกชน ซึ่งเป็นกลไกขับเคลื่อนขนาดใหญ่ที่ใกล้เคียงกับการส่งออก มาตรการนี้คาดการณ์ว่าจะสามารถช่วยกระตุ้นการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ได้ถึง 0.2-0.4% ในไตรมาสที่ 4
“มาตรการกระตุ้นการบริโภคที่จะผลักดันในช่วงปลายปีนี้ โดยรวมแล้วคาดว่าจะทำให้ GDP ในไตรมาส 4 ขยายตัวได้มากกว่า 1%”
นายเอกนิติ กล่าวว่า มาตรการชุดแรกที่ถูกนำมาใช้ ประกอบด้วย 2 โครงการหลัก โดยที่ใช้เงินรวมกันประมาณ 66,000 ล้านบาท ได้แก่
1. บัตรสวัสดิการของรัฐ เพื่อช่วยเหลือกลุ่มคนฐานราก โดยจะมีการเติมเงินให้ผู้ถือบัตรฯ อีก 1,700 บาท แบ่งเป็น 2 เดือน คือ เดือนพ.ย.และธ.ค. รวมกับเงินเดิม 300 บาท ทำให้ได้รับสิทธิ์รวม 2,000 บาท
2. คนละครึ่งพลัส สำหรับประชาชนชนชั้นกลาง โดยรัฐจะให้เงินสมทบ โดยจะได้รับสิทธิ์เป็นเงินจำนวน 2,000 บาท เพื่อช่วยลดภาระและกระตุ้นการใช้จ่าย สำหรับผู้มีประวัติการยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปีภาษี 2567 จะได้รับเงินอุดหนุนเพิ่มเป็น 2,400 บาท
“งบประมาณสำหรับมาตรการกระตุ้นเหล่านี้ไม่ได้เป็นเงินใหม่ แต่มาจากเงินเดิมที่มีอยู่แล้ว โดยมาจากงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 25,000 ล้านบาท และอีก 19,000 ล้านบาท มาจากงบกลางฯ”
นายเอกนิติ กล่าวต่อว่า โครงการ “คนละครึ่งพลัส” จะมีส่วนที่เพิ่มขึ้นคือการเพิ่มทักษะให้กับพ่อค้าแม่ค้ารายเล็ก เช่น การขายออนไลน์ และการใช้ระบบบัญชีดิจิทัล เพื่อสร้างผลในเชิงการเพิ่มศักยภาพและ GDP ในระยะยาว
สำหรับโครงการคนละครึ่งพลัส จะนำเข้าพิจารณาในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในสัปดาห์หน้า โดยร้านค้าลงทะเบียนวันที่ 15 ต.ค. เป็นต้นไป โดยครั้งนี้เปิดโอกาสให้นิติบุคคลรายย่อย (Micro SME) ที่อยู่ในระบบภาษีรายได้ต่ำกว่า 30 ล้านบาทเข้าร่วมได้ด้วย แต่ไม่รวมร้านสะดวกซื้อและซูเปอร์มาร์เก็ต
สำหรับประชาชนลงทะเบียน ระหว่างวันที่ 20-26 ต.ค. ผ่านแอปพลิเคชัน "เป๋าตัง" โดยต้องเข้าไปกดขอเข้าร่วมโครงการ จำกัดสิทธิ์ 20 ล้านคน ใช้หลักการมาก่อนได้ก่อน และประชาชนจะสามารถเริ่มใช้สิทธิ์ซื้อสินค้าหรือบริการได้ตั้งแต่วันที่ 29 ต.ค.
กระตุ้นท่องเที่ยวปลายปี
นอกจากนี้ เตรียมเสนอครม. มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว ในวันที่ 14 ต.ค. กระตุ้นการท่องเที่ยวเมืองรอง โดยการใช้มาตรการหักลดหย่อนภาษีสำหรับการเดินทางท่องเที่ยวในเมืองรองได้ 2 เท่า เบื้องต้นคาดว่าจะกำหนดวงเงินลดหย่อนสูงสุด 40,000 บาท ซึ่งเคยทำมาแล้วในอดีต และสูญเสียรายได้ภาษีเพียง 200 ล้านบาท
รวมทั้ง มาตรการปรับปรุงที่พัก การให้สิทธิ์หักค่าใช้จ่ายได้ 2 เท่า สำหรับการปรับปรุงหรือซ่อมแซมที่พักในจังหวัดเมืองรอง เพื่อยกระดับศักยภาพของที่พัก
รวมทั้ง ให้มีการสั่งการส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจจะต้องเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณสัมมนา/จัดงานต่างๆ ให้เสร็จสิ้นภายใน 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ โดยทั้งสองส่วนมีงบประมาณที่สามารถใช้ได้รวมกันกว่า 8,000 ล้านบาท
ส่งเสริมการออม
ขณะเดียวกัน ในด้านการส่งเสริมการออมได้สั่งการบ้านให้ปลัดกระทรวงการคลังเตรียมเสนอหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการทำกลไกสลากเพื่อการออม รองรับสังคมสูงวัย สำหรับผู้ซื้อสลากดิจิทัลที่ไม่ถูกรางวัล ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 4 เดือน
“สลากเงินออม ยังไม่มีชื่ออย่างเป็นทางการ แต่จะไม่ใช่โครงการเดียวกับหวยเกษียณของกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) โดยจะเป็นการแบ่งสัดส่วนเงินที่ซื้อสลากมาเก็บเป็นเงินออม ใช้หลักเกณฑ์เดียวกับกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) คือถอนเงินคืนได้เมื่ออายุ 55 ปี ส่วนคนที่อายุ 56 ปีขึ้นไป จะสามารถออมได้อีก 5 ปี” นายเอกนิติ กล่าว
นอกจากนี้ จะเพิ่มช่องทางการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลให้แก่ประชาชนทั่วไปได้ทุกเดือน ซึ่งได้รับผลตอบแทนที่มากกว่าการออมทรัพย์ทั่วไป
นอกจากนี้ ในแผน Quick Big Win ยังรวมถึงการแก้ไขปัญหาหนี้ภาคครัวเรือน การเสริมสภาพคล่องให้ธุรกิจรายย่อย (SME) ผ่านสินเชื่อ Supply Chain และการค้ำประกันของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) และการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและเพิ่มศักยภาพเศรษฐกิจในระยะยาว






