'พิพัฒน์' ลุยงาน 4 เดือนคลอดแพ็คเกจลดค่าครองชีพคมนาคม

'พิพัฒน์' ลุยงาน 4 เดือนคลอดแพ็คเกจลดค่าครองชีพคมนาคม

“พิพัฒน์” ลุยงาน 4 เดือนคลอดแพ็คเกจลดค่าครองชีพคมนาคม เผยเตรียมเจรจาคลังถกแนวคิดซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้าและให้เอกชนเช่าบริหาร พร้อมเข็นเมกะโปรเจกต์ค้างท่อ มอเตอร์เวย์ - รถไฟทางคู่สายใต้ประมูลทันที

'พิพัฒน์' ลุยงาน 4 เดือนคลอดแพ็คเกจลดค่าครองชีพคมนาคม

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มอบนโยบายและทิศทางการทำงานของกระทรวงคมนาคม โดยระบุว่า ในช่วง 4 เดือนของรัฐบาลนี้ จะยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางโดยมุ่งเน้นในการยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีของพี่น้องประชาชน กำหนดนโยบายด้านคมนาคมขนส่งและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ทั้ง “ทางบก ทางราง ทางน้ำ ทางอากาศ” โดยแบ่งแผนในการดำเนินการออกเป็น 3 ส่วน สำคัญ ประกอบด้วย

ส่วนที่ 1  การแก้ปัญหาเร่งด่วนเพื่อลดภาระประชาชน โดยสิ่งแรกที่กระทรวงคมนาคมจะเร่งดำเนินการ คือ มาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายของพี่น้องประชาชนทันที ซึ่งได้เสนอผ่านคณะรัฐมนตรี (ครม.) ทบทวนกลับไปใช้มติ ครม. เมื่อ 29 พ.ย.2567 โดยมีผลขยายมาตรการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ในส่วนของสายสีแดงและสายสีม่วง ไปจนถึงวันที่ 30 พ.ย.2568

อย่างไรก็ดี นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้กระทรวงคมนาคมและกระทรวงการคลัง ตั้งคณะกรรมการร่วมกัน เพื่อศึกษาแนวทางของนโยบายนี้หลังจากวันที่ 30 พ.ย.เป็นต้นไป ว่าจะยังคงนโยบายนี้ไว้หรือไม่ หากคงไว้จะดำเนินการในรูปแบบใดและเป็นระยะเวลานานเท่าใด โดยต้องนำเสนอข้อสรุปต่อนายกรัฐมนตรีภายในวันที่ 15 พ.ย.นี้

ขณะเดียวกัน ตนยังมีแนวคิดหนึ่งที่เป็นไปได้ คือ การที่รัฐจะซื้อคืนสัญญาสัมปทาน ของรถไฟฟ้าแต่ละสายกลับมาเป็นของรัฐทั้งหมด แล้วอาจให้เอกชนเช่ากลับไปบริหารจัดการ เพื่อให้การกำหนดนโยบายเป็นไปในทิศทางเดียวกัน อย่างไรก็ตาม แนวคิดนี้เป็นเพียงแนวคิดเบื้องต้นที่ต้องหารือกับกระทรวงการคลังอย่างละเอียดถึงผลกระทบด้านการเงิน

ส่วนที่ 2  การเร่งดำเนินโครงการโดยทันที โดยได้มอบหมายกรมทางหลวง (ทล.) เร่งการเปิดใช้ถนนพระราม 2 แม้เบื้องต้นจะตรวจสอบข้อมูลและพบว่า พระราม 2 ยังคงมีงานก่อสร้างที่เสร็จไม่ทันภายในปีนี้ตามกรอบของรัฐบาลเดิมกำหนด แต่ตนได้เร่งรัดให้ดำเนินการ โดยกำหนดเปิดเป็น 2 ช่วง คือ ระยะที่ 1 ทางต่างระดับบางขุนเทียน–เอกชัย เป็นระยะทาง 8.3 กิโลเมตร ภายในเดิน ต.ค. 2568 และ ระยะที่ 2 เอกชัย ไปถึงบ้านแพ้ว ระยะทางรวม 16.3 กิโลเมตร โดยเร่งการเปิดใช้บริการให้ทันก่อนเทศกาลสงกรานต์ปี 2569

และเส้นทางเอกชัย–บ้านแพ้วก่อนสงกรานต์ 2569 เปิดใช้มอเตอร์เวย์สาย M81 (บางใหญ่–กาญจนบุรี) ในเดือนตุลาคม 2568 และ สาย M6 (บางปะอิน–โคราช) ต้นปี 2569 รวมถึงการเปิดสะพานมิตรภาพไทย–ลาวแห่งที่ 5 ที่จังหวัดบึงกาฬ–บอลิคำไซ

นอกจากนี้ยังผลักดันการประมูลรถไฟทางคู่ 3 เส้นทาง ได้แก่ ชุมพร–สุราษฎร์ธานี สุราษฎร์ธานี–หาดใหญ่ และหาดใหญ่–ปาดังเบซาร์ พร้อมเดินหน้าแก้ปัญหาจราจรติดขัดในจังหวัดภูเก็ตด้วยโครงการทางพิเศษกะทู้–ป่าตอง และถนนแนวใหม่บ้านเมืองใหม่–สนามบินภูเก็ต ในโครงการทางพิเศษของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) อีกทั้งยังส่งเสริมในการนำรถเมล์ไฟฟ้า (EV Bus) มาใช้เพื่อทดแทนรถร้อน ซึ่งนำมาสู่การยกระดับการบริการและลดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม

ส่วนที่ 3  การวางรากฐานคมนาคมสำหรับอนาคต โดยในระยะยาว จะเดินหน้าปรับโครงสร้างพื้นฐานของประเทศเพื่อรองรับอนาคต โดยมีโครงการสำคัญ เช่น โครงการ LANDBRIDGE ที่จะเชื่อมการคมนาคมทางราง ถนน ท่อ และ ท่าเรือ เพื่อยกระดับไทยสู่ศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภูมิภาค ตลอดจนการก่อสร้างทางรถไฟสายใหม่ อาทิ ขอนแก่น–หนองคาย บ้านไผ่–มุกดาหาร–นครพนม และเด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ รวมถึง รถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ–โคราช

ส่วนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลจะเดินหน้าโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มและสีม่วง พร้อมเร่งรัดการต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีแดงทั้งฝั่งเหนือและตะวันตก ขณะเดียวกันจะเพิ่มศักยภาพสนามบินสุวรรณภูมิ ดอนเมือง และเชียงใหม่ เพื่อรองรับจำนวนผู้โดยสารและการท่องเที่ยวที่เติบโตต่อเนื่อง รวมถึงการสร้างสะพานเชื่อมเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ และสะพานเชื่อมทะเลสาบสงขลา เพื่อลดเวลาการเดินทางระหว่างจังหวัด