'พิพัฒน์' ล้มแผนแก้สัญญา CP ไฮสปีด 3 สนามบิน ยันเดินหน้าเงื่อนไขเดิม

'พิพัฒน์' ล้มแผนแก้สัญญา CP ไฮสปีด 3 สนามบิน ยันเดินหน้าเงื่อนไขเดิม

“พิพัฒน์” ล้มแผนแก้สัญญา “ไฮสปีดสามสนามบิน” ระบุไม่เห็นด้วยประเด็น “สร้างไปจ่ายไป” เตรียมนัดถก ซีพี - อีอีซี เพื่อหาทางออกร่วมกัน ยันต้องได้ข้อสรุปภายใน 4 เดือน หลังโครงการนี้ล่าช้ามากกว่า 6 ปี

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ภายใต้รัฐบาลนี้ที่มีเวลา 4 เดือน และอีก 4 เดือนเป็นช่วงรักษาการระหว่างรอการเลือกตั้ง ตนจะเร่งดำเนินการผลักดันการลงทุนของโครงการค้างท่อที่มีอยู่ เพื่อให้กระทรวงคมนาคมเป็นส่วนหนึ่งในการกระตุ้นงบเบิกจ่าย เกิดการจ้างงาน และกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศในช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดีเช่นนี้

อีกทั้งจะแก้ปัญหาโครงการร่วมลงทุนที่ยังค้างคาอยู่ โดยเฉพาะโครงการรถไฟความเร็วสูง (ไฮสปีดเทรน) เชื่อมสามสนามบิน (ดอนเมือง สุวรรณภูมิ อู่ตะเภา) ซึ่งเป็นโครงการที่ล่าช้ามากกว่า 6 ปี นับตั้งแต่วันที่เปิดให้เอกชนยื่นข้อเสนอโครงการ โดยปัญหาหลักของโครงการนี้พบว่าอยู่ในช่วงพิจารณาแก้ไขสัญญาใหม่ รัฐบาลชุดก่อนได้เจรจาไว้ และยังไม่ได้ข้อสรุป

ขณะที่ตนมีแนวทางเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยมองว่าการแก้ไขสัญญาที่ปรับเงื่อนไขจากเมื่อครั้งการประมูลกำหนดว่าเอกชนจะต้องก่อสร้างโครงการให้แล้วเสร็จ และภาครัฐจะจ่ายเงินสนับสนุน ตอนนี้กำลังเจรจาเพื่อปรับสัญญาเป็นสร้างไปจ่ายไป หรือจะจ่ายเป็นงวดๆ เหมือนงวดงานของการประมูลทั่วไป ซึ่งเรื่องนี้ตนมองว่ามันผิดกับหลักการของสัญญาเดิม และหากเสนอเรื่องนี้เข้าไปยังคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก็เชื่อว่า ครม.จะไม่พิจารณาอนุมัติ

“จะมาขอปรับแก้สัญญาจากทำไปแล้วภาครัฐจะจ่ายทีหลัง มาปรับเป็นจะจ่ายเป็นงวดๆ หรือที่เรียกว่าสร้างไปจ่ายไป เรื่องนี้ถ้าขืนผมทำไปอย่างนั้นผมคิดว่าผมคงรับไม่ไหวเหมือนกัน และแน่นอนว่าผมจะไม่ทำเรื่องที่ผิดกับกฎหมาย เพราะสัญญาเดิมก็เขียนไว้แล้ว ซึ่งมันไม่ใช่แบบนี้”

'พิพัฒน์' ล้มแผนแก้สัญญา CP ไฮสปีด 3 สนามบิน ยันเดินหน้าเงื่อนไขเดิม

นายพิพัฒน์ กล่าวด้วยว่า เรื่องการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุน ตนจะเรียกหารือกับเอกชนผู้รับสัมปทาน คือ บริษัท เอเชีย เอราวัน จำกัด หรือกลุ่มซีพี การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) โดยจะต้องนัดหารือร่วมกันในเร็ววันนี้ เพื่อพิจารณาถึงแนวทางออกของโครงการนี้ และหากโครงการถึงทางตันก็จะต้องหารือถึงแนวทางออกที่เป็นไปได้

นอกจากนี้ ตนยังมองว่าหากโครงการนี้ยังไม่สามารถดำเนินการได้ ก็จะไม่ได้สร้างผลกระทบต่อการใช้บริการ เพราะปัจจุบัน รฟท.มีโครงการรถไฟทางคู่ที่ให้บริการถึงสถานีแหลมฉบัง ดังนั้นสามารถขยายแนวเส้นทางต่อเนื่องไปยังอู่ตะเภา และเพิ่มจำนวนขบวนรถเพื่อรองรับการให้บริการได้

ทั้งนี้ ตนยืนยันว่าสิ่งที่พูดเหล่านี้ไม่ได้เป็นการเปิดช่องเพื่อให้เอกชนยกเลิกสัญญา แต่กำลังพูดถึงการเจรจาเพื่อให้กลับไปสู่เงื่อนไขเดิม เพราะหากจะเลิกสัญญาโครงการนี้ตนก็คงรับผิดชอบไม่ไหว หากเอกชนจะมาฟ้องร้อง ดังนั้นเรื่องนี้ตนมีเป้าหมายเพื่อเชิญผู้ประกอบการเอกชน รฟท. และ สกพอ.มาหารือร่วมกันเพื่อหาแนวทางออก แม้ยอมรับว่า 4 เดือนของรัฐบาลนี้อาจทำให้โครงการนี้เกิดได้ยาก แต่จะเป็นช่วงเวลา 4 เดือนที่เร่งแก้ปัญหา หาทางออกร่วมกัน

 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์