ยกแรก ‘ทีมเศรษฐกิจอนุทิน’ โชว์ฝีมือ โยกงบกลาง 5.7 หมื่นล้านทันเส้นตายงบ 68

ยกแรกทีมเศรษฐกิจอนุทิน” โชว์ฝีมือเคลียร์งบกลาง 5.7 หมื่นล้านบาท ทันเส้นตายปีงบ 2568 เติมเงินบัตรสวัสดิการช่วยผู้มีรายได้น้อย 13.4 ล้านคน และชำระหนี้ ธ.ก.ส. สร้างสภาพคล่อง – ปูทางพักหนี้รายย่อย ถือเป็นบทพิสูจน์การเลือกทีมเศรษฐกิจที่ถูกจังหวะ ถูกเวลา
KEY
POINTS
- เปิดเบื้องหลังทีมเศรษฐกิจรัฐบาลอนุมัติงบกลางปี 2568 วงเงินกว่า 5.7 หมื่นล้านบาทได้สำเร็จก่อนเส้นตาย เพื่อใช้ในโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ
- เอกนิติ หารือหน่วยงานเศรษฐกิจล่วงหน้าเตรียมความพร้อมล่วงหน้า หลังเวลาอนุมัติจำกัด
- งบประมาณดังกล่าวถูกจัดสรรเพื่อเติมเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้ผู้มีรายได้น้อย 13.4 ล้านคน และชำระหนี้ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)
- การโอนเงินให้ ธ.ก.ส. มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินสำหรับรองรับนโยบายพักหนี้เกษตรกร และลูกค้ารายย่อย
ถือเป็นการแสดงฝีมือให้ได้เห็นในยกแรกในการทำงานของ “ทีมเศรษฐกิจอนุทิน” ในรัฐบาลภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล ที่สามารถจัดสรรวงเงินในการกระตุ้นเศรษฐกิจตามนโยบายของรัฐบาลได้สำเร็จ โดยในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดพิเศษที่รัฐสภาเมื่อวานที่ผ่านมา (30 ก.ย.68) มีการจัดสรรวงเงินได้กว่า 5.7 หมื่นล้านบาท ก่อนเส้นตายของปีงบประมาณ 2568 เพียงไม่กี่ชั่วโมง
เป็นที่ทราบกันดีว่ารัฐบาลปัจจุบันเข้ามามีแผนที่จะฟื้นเศรษฐกิจในระยะสั้น โดยถึงแม้จะมีกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายปี 2569 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท ที่ พ.ร.บ.รายจ่ายงบประมาณปี 2569 มีผลบังคับใช้แล้ว แต่งบประมาณที่จะใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยตรงนั้นได้กำหนดไว้ในงบกลาง รายการกระตุ้นเศรษฐกิจในปี 2569 เพียง 2.5 หมื่นล้านบาท เท่านั้น
ซึ่งหากไม่สามารถจัดสรรงบประมาณจากปีงบประมาณ 2568 ในส่วนของงบกลาง ที่เหลืออยู่เกือบๆ 6 หมื่นล้านบาท มาใช้ได้จะทำให้รัฐบาลเผชิญกับความยากลำบากมากขึ้นในการจัดหางบประมาณมาใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ ในเงื่อนเวลาที่มีจำกัดที่กำหนดว่าตามระเบียบบริหารราชการแผ่นดินที่กำหนดว่ารัฐบาลจะอนุมัติงบประมาณได้ต่อเมื่อมีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาแล้วจึงทำให้ต้องมีการกำหนดวันประชุม ครม.นัดพิเศษอย่างเร่งด่วนทันทีในวันที่ 30 ก.ย.68 เพื่อให้อนุมัติการโอนงบประมาณจากงบกลางไปอยู่ในที่ ที่รัฐบาลจะสามารถทำโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อได้ทันเวลาเส้นตาย ตาม พ.ร.บ.งบประมาณปี 2561
มาตรา 41–42 ของ พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ พ.ศ.2561 มาตรา 41 ที่กำหนดว่า การก่อหนี้ผูกพันตามงบรายจ่ายประจำปี ต้องทำในปีงบประมาณที่ได้รับอนุมัติ เว้นแต่จะมีกฎหมาย ระเบียบ หรือมติ ครม. อนุญาตให้ผูกพันงบข้ามปีได้ เช่น โครงการลงทุนก่อสร้าง ถนน รถไฟ ฯลฯ และ มาตรา 42 กำหนดให้เงินงบประมาณที่ไม่ได้ก่อหนี้ผูกพันภายในปีงบประมาณ “สิ้นสุดไป” และต้องส่งคืนคลัง
เตรียมการล่วงหน้าก่อนโอนงบ
แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาลเปิดเผยว่า ในการทำงานของรัฐบาลนั้นได้มีการเตรียมการเรื่องนี้ไว้ก่อนแล้ว และรัฐบาลได้มีการประสานงานกับรัฐสภา เพื่อขอแถลงนโยบายภายใน 29-30 ก.ย.68 โดยเมื่อรัฐสภามีการบรรจุวาระการแถลงนโยบายของรัฐบาลในวันที่ 29-30 ก.ย.68 นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ได้เร่งหารือกับหน่วยงานเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องทั้งสำนักงบประมาณ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ กระทรวงการคลัง เพื่อจัดเตรียมความพร้อม และตรวจสอบข้อกฎหมายที่รัฐบาลจะสามารถทำได้ เพื่อให้การเตรียมความพร้อมเรื่องงบประมาณที่จะใช้ในโครงการกระตุ้น และแก้ปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาลมีความพร้อมมากที่สุดโดยต้องจัดสรรจากงบกลาง ที่เหลือในปีงบ 2568 ด้วย
ทั้งนี้ ในรายละเอียดการจัดสรรงบประมาณไปที่กองทุนประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานราก และสังคม เพื่อใช้เติมเงินเข้าไปยังบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ครอบคลุมผู้มีรายได้น้อยจำนวน 13.4 ล้านคน วงเงิน 22,780 ล้านบาท และการโอนเงินงบกลาง ที่เหลืออีก 35,960 ล้านบาท โอนเงินไปให้กับธนาคารเพื่อการเกษตร และสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ซึ่งเป็นการชำระหนี้ตามมาตรา 28 ตามพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ เพื่อให้ธนาคารมีสภาพคล่องในการบริหารงานมากขึ้น
การบริหารจัดการงบ ที่เหลืออย่างแม่นยำนี้ถือเป็นการแสดงให้เห็นถึงฝีมือของ “นายเอกนิติ” ในฐานะ “หัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล” ที่สามารถบริหารจัดการงบประมาณส่วนนี้ได้ทันเวลา และการจัดสรรเงินในส่วนนี้ยังลงไปนั้นจะสามารถตอบโจทย์ในการเรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจในส่วนของฐานรากคือ กลุ่มที่ถือบัตรคนจนกว่า 13.4 ล้านคน ที่จะได้รับการเติมเงินเพิ่มเดือนละ 850 บาท 2 เดือน ในเดือนพ.ย. และธ.ค.นี้ ซึ่งกลุ่มนี้จะมีอัตราการใช้จ่ายที่สูงทำให้เกิดแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้มาก
ขณะที่ในส่วนการโอนเงินไปใช้หนี้ ธ.ก.ส.ตามมาตรา 28 นั้นจะเป็นการเปิดพื้นที่ในการทำนโยบายพักหนี้รายย่อย ซึ่งในส่วนนี้มีลูกหนี้ของ ธ.ก.ส.อยู่จำนวนไม่น้อยเช่นกัน
จะเห็นได้ว่าการดำเนินการได้ถูกต้องตามช่องทางงบประมาณ และตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดนั้น เป็นบทพิสูจน์ในขั้นต้นได้ว่านายอนุทินในฐานะนายกรัฐมนตรี นั้นเลือกรองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ได้ถูกคนในสถานการณ์ที่มีข้อจำกัดทั้งด้านระยะเวลา และงบประมาณเช่นในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตามในช่วงเวลาต่อจากนี้ไปการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้รอดพ้นจากความเสี่ยงที่ยังรออยู่อีกมากก็ยังเป็นความท้าทายของ นายกฯ อนุทิน และทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลที่จะทำให้ได้ตามแนวทาง "กู้เศรษฐกิจติดหล่ม Quick Big Win กระตุ้นสั้น ได้ยาว กระจายตัว" ตามที่ได้กล่าวไว้ในการแถลงนโยบายของรัฐบาล
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







