'เอกนิติ' เปิดแผนฟื้นเศรษฐกิจ แจงสภามุ่ง 5 เสาหลัก หวังพ้นหล่มใน 4 เดือน

"เอกนิติ" แจงนโยบายเศรษฐกิจรัฐบาลเน้น 5 เสาหลัก ดันเศรษฐกิจไทยพ้นหล่ม ไตรมาส 4 โตมากกว่า 0.3% ชง ครม. เพิ่มวงเงินใช้จ่ายคนละครึ่งพลัส วันละ 400 บาท
KEY
POINTS
- "เอกนิติ" แจงนโยบายเศรษฐกิจเร่งด่วน กู้เศรษฐกิจชะลอตัวรุนแรง ติดหล่ม ตั้งเป้าให้เห็นผลใน 4 เดือน
- นโยบายหลักตั้ง "กระตุ้นสั้น ได้ยาว กระจายตัว" โดยมุ่งเน้น 5 เสาหลัก ได้แก่ การกระตุ้นเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยว, การแก้หนี้ครัวเรือน, การเสริมสภาพคล่อง SME, การเพิ่มการออม และการสร้างอุตสาหกรรมอนาคต
- มาตรการสำคัญที่จะดำเนินการทันทีคือ โครงการ "คนละครึ่ง พลัส" เพื่อกระตุ้นการใช้จ่าย ตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์เพื่อแก้หนี้เสีย (NPL) และการใช้ บสย. ค้ำประกันสินเชื่อให้ SME
วันที่ 30 ก.ย.2568 เวลา 12.50 น. นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ชี้แจงถึงแนวคิด และรายละเอียดของนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 1 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 1) เพื่อพิจารณาเรื่องด่วน คณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตามมาตรา 162 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
โดยระบุว่าหลักคิดนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลคือ "กระตุ้นสั้น ได้ยาว กระจายตัว" โดยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจะคำนึงถึงศักยภาพเศรษฐกิจไทยในระยะยาว และทำให้เกิดการกระจายไปทุกพื้นที่ มุ่งเน้น "Quick Big Win" ใน 5 เสาหลัก เพื่อรับมือกับภาวะเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัวอย่างรุนแรง พร้อมตั้งเป้าหมายการวัดผลที่ชัดเจนภายใน 4 เดือนแรกของการบริหาร
นายเอกนิติ กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยเปรียบเสมือน "รถติดหล่ม" เครื่องยนต์แรกที่แผ่ว และจะค่อยๆ ดับคือ ภาคการส่งออก ขณะที่ตัวชี้วัดการบริโภคภาคเอกชน ส่งสัญญาณติดลบครั้งแรกในเดือนก.ค.68 ส่วนการลงทุนภาคเอกชนยังชะลอ ปัจจุบัน กำลังการผลิตภาคอุตสาหกรรมไม่ถึง 60% ดังนั้นจึงเหลือเพียงเครื่องยนต์เดียวคือ การใช้จ่ายรัฐบาล
โดยตัวเลขล่าสุดที่หน่วยงานด้านเศรษฐกิจมีการคาดการณ์เศรษฐกิจไทย พบว่า GDP ไตรมาสที่ 3 อยู่ที่ประมาณ 1.7% และไตรมาสที่ 4 เหลืออยู่เพียง 0.3% คำถามคือ รัฐบาลจะทำอย่างไรในสถานการณ์เช่นนี้ ประกอบกับข้อห่วงกังวลถึงเรื่องวินัยการเงินการคลัง
นายเอกนิติ ย้ำว่า หากไม่ใช้เครื่องยนต์เดียวที่มีอยู่เศรษฐกิจจะไม่เพียงแค่ติดหล่ม แต่จะ "ดิ่งเหวเลย" และความเสียหายจะแก้ไขยากขึ้น
นายเอกนิติ กล่าวต่อว่า รัฐบาลได้วางแผนนโยบายเศรษฐกิจด้วยหลักคิด "กระตุ้นสั้น ได้ยาว กระจายตัว" โดยมีเวลาจำกัดเพียง 4 เดือนในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เกิดผล และต้องคำนึงถึงการเพิ่มศักยภาพเศรษฐกิจในระยะยาว เนื่องจากรถยนต์เศรษฐกิจไทยเป็นรถยนต์ที่เก่า และคนขับขาดทักษะใหม่
ทั้งนี้ นโยบาย 5 เสาหลักที่ตั้งอยู่บนวินัยทางการคลัง โดยใช้กรอบงบประมาณเดิม คือ งบกระตุ้นเศรษฐกิจ 25,000 ล้านบาท และงบกลาง 19,000 ล้านบาท โดยไม่ได้กู้เพิ่ม ประกอบด้วย
1.กระตุ้นเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยว นำโดยโครงการ "คนละครึ่ง พลัส" เพื่อกระตุ้นสั้น และกระจายตัวสู่พ่อค้าแม่ค้ารายเล็กรายย่อย โดยพิจารณาเสนอที่ประชุม ครม. เพิ่มเงินสมทบจาก 150 บาท เป็น 200 บาท เพื่อเพิ่มกำลังซื้อ และพลัสสำหรับผู้ที่อยู่ในระบบภาษีจะได้รับเงินมากกว่า 2,400 บาท ขณะที่บุคคลทั่วไปได้รับ 2,000 บาท เพื่อจูงใจให้เข้าสู่ระบบในระยะยาว นอกจากนี้ จะมีการหารือกับสถาบันการเงินเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลการใช้จ่ายที่เกิดขึ้น และใช้ระบบดิจิทัลทำบัญชี ซึ่งจะเป็นข้อมูลสำหรับธนาคารในการปล่อยสินเชื่อได้ง่ายขึ้น
อีกทั้ง จะมีการออกมาตรการภาษีส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง โดยให้สิทธิผู้ประกอบการ หักลดหย่อนภาษี 2 เท่าสำหรับการปรับปรุงโรงแรมในเมืองรอง ซึ่งคาดการณ์ว่าจะทำให้รัฐสูญเสียรายได้เพียง 300 ล้านบาท แต่ผลที่ได้รับคือ สามารถช่วยกระจายผลประโยชน์ไปทั่วได้จริง
2.แก้ไขปัญหาหนี้ประชาชน หรือหนี้ครัวเรือน โดยจะใช้เงินกองทุนฟื้นฟูฯ ที่เหลืออยู่ประมาณ 26,000 ล้านบาท เพื่อตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ร่วมกับธนาคารพาณิชย์ ซื้อหนี้ NPL ออกมา เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ ยืดหนี้ และลดดอกเบี้ยให้ลูกหนี้หายใจคล่องขึ้น
รวมทั้ง กระทรวงการคลังมีการพัฒนาโครงการสินเชื่อตามความเสี่ยง (ARI Score) เพื่อให้คนตัวเล็กเข้าถึงสินเชื่อในระบบ ไม่ต้องพึ่งพาหนี้นอกระบบ
3.เสริมสภาพคล่อง SME เตรียมกลไกบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เข้ามาค้ำประกัน โดยเตรียมวงเงินไว้แล้ว ขั้นต่ำ 50,000 ล้านบาท รวมทั้ง Supply Chain Financing (พี่ช่วยน้อง) ส่งเสริมให้รายใหญ่ช่วยรายย่อยในห่วงโซ่อุปทาน โดยให้สิทธิหักค่าใช้จ่ายภาษีได้ ขณะที่กรมสรรพากรมีภาษีค้างคืนอยู่ 160,000 ล้านบาท จะเร่งคืนเข้าสู่ระบบ และ SME ทันที
4.เพิ่มการออมภาคประชาชน เนื่องจากคนไทยมีเงินออมไม่เพียงพอ จะมีการนำหลักการออมไปผูกกับการซื้อสลากออนไลน์ โดยสัดส่วนเงินออมจะถูกจัดเก็บไว้เพื่อใช้เป็นเงินออมในระยะยาว โดยจะได้รับเงินเมื่ออายุ 55 ปี ถือไว้ 5 ปี โดยจะมีการสนับสนุนวงเงินสมทบส่วนหนึ่งจากการหักจากค่าการตลาดของสำนักงานสลากฯ รวมทั้งให้ประชาชนรายย่อยเข้าถึง พันธบัตรออมทรัพย์รัฐบาล ได้ทุกเดือน ซึ่งจะเป็นทางเลือกในการออมระยะยาวให้กับภาคประชาชน เนื่องจากผลตอบแทนของพันธบัตร 10 ปี สูงกว่าการฝากเงินในธนาคาร
5.สร้างอุตสาหกรรมอนาคต และเพิ่มขีดความสามารถ เน้นสนับสนุนการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ เช่น เกษตรชีวภาพ Smart Farming, Digital, AI, และรถยนต์ EV นอกจากนี้ ยังส่งเสริมการพัฒนาทักษะแรงงาน โดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ซึ่งมีกองทุนเพิ่มขีดความสามารถแข่งขัน วงเงิน 10,000 ล้านบาท เพื่อผลิตแรงงานให้ตรงกับความต้องการของภาคเอกชน
โดยจะเร่งปลดล็อกเงินลงทุนที่บีโอไออนุมัติไปแล้ว แต่ยังไม่ได้เริ่มโครงการ มูลค่ากว่า 470,000 ล้านบาท โดยใช้โครงการ "Fast Pass Plus" เพื่อเร่งรัดการอนุมัติขอน้ำ ขอไฟ และคนเข้าทำงาน ให้แล้วเสร็จภายในเวลาที่กำหนด
นายเอกนิติ ระบุว่า เป้าหมายชัดเจนของรัฐบาลคือ ต้องดึงรถยนต์เศรษฐกิจขึ้นจากหล่มให้ได้ โดยมีตัวชี้วัดที่วัดได้จริง คือ GDP ในไตรมาส 4 จะต้องทำได้ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 0.3% หนี้ครัวเรือนปัจจุบัน 87.4% ของ GDP จะต้องลดให้ต่ำกว่า 87% รวมทั้งเม็ดเงินลงทุนจากบีโอไอจะต้องเป็นเม็ดเงินที่เพิ่มขึ้น และเป็นจริง
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







