‘อนุทิน’อัด 6 หมื่นล้านฟื้นเศรษฐกิจ ชง ‘ครม.’ เคาะโอนงบ ทำคนละครึ่ง - พักหนี้

ครม.นัดพิเศษ 30 ก.ย.68 เส้นตายสิ้นปีงบประมาณ จัดสรรงบกลางปี 68 กว่า 6 หมื่นล้านบาท กระตุ้นเศรษฐกิจ โอน 2.2 หมื่นล้าน เข้ากองทุนสวัสดิการแห่งรัฐ แจกคนละครึ่ง 13 ล้านคน พร้อมโอนอีก 3.5 หมื่นล้าน ใช้หนี้ธนาคารรัฐ เปิดช่องใช้ ม.28 พักหนี้ประชาชนมูลหนี้ไม่เกิน 1 แสน รวม 1-2 ล้านสิทธิ
KEY
POINTS
- ครม. พิเศษ จ่ออนุมัติงบกลางปี 2568 ที่เหลืออยู่ราว 6.2 หมื่นล้านบาท เพื่อใช้ในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
- จัดสรรงบประมาณ 2.2 หมื่นล้านบาท สำหรับโครงการ "คนละครึ่งพลัส" ให้กับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 13 ล้านคน
- ใช้เงิน 3.5 หมื่นล้านบาท ชำระหนี้คืนธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ เพื่อเพิ่มพื้นที่ทางการคลังสำหรับดำเนินนโยบายพักชำระหนี้ให้ประชาชน
- เตรียมมาตรการพักชำระหนี้ให้ลูกหนี้รายย่อยที่มีหนี้ไม่เกิน 1 แสนบาท โดยรัฐบาลจะช่วยชดเชยดอกเบี้ยให้
รัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาระหว่างวันที่ 29-30 ก.ย.2568 โดยนายอนุทิน แถลงถึงการทำงานของรัฐบาลที่มีเวลาจำกัด และไม่ได้จัดทำงบประมาณปี 2569 รวมถึงเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยทำให้รัฐบาลต้องเร่งแก้ปัญหาประเทศ ประกอบด้วย
1.ด้านเศรษฐกิจ โดยจะสร้างรายได้ ลดรายจ่ายค่าพลังงาน ค่าน้ำดื่มสะอาด ค่าโดยสาร และค่าผ่านทาง รวมถึงแก้หนี้ภาคประชาชนรายบุคคลในระบบรายละไม่เกิน 1 แสนบาท เพิ่มสภาพคล่องให้เอสเอ็มอี รายละไม่เกิน 1 ล้านบาท เพิ่มโอกาสการออมของประชาชนผ่านสลากเพื่อการออม รวมถึงจะฟื้นความเชื่อมั่นให้นักท่องเที่ยว และเร่งแก้ปัญหาผลกระทบสงครามการค้า
2.ด้านความมั่นคง โดยเร่งแก้ข้อพิพาทไทย-กัมพูชา ด้วยแนวทางสันติวิธี และรักษาอธิปไตย และเขตแดน รวมถึงทำประชามติเพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมตัดสินใจต่อการยกเลิก MOU ระหว่างไทย-กัมพูชา และเร่งแก้ปัญหาชายแดนภาคใต้ควบคู่การพัฒนาเศรษฐกิจ
3.ด้านสังคมรัฐบาล จะไม่สนับสนุนเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ที่มีธุรกิจพนัน โดยจะแก้ไข พ.ร.บ.การพนัน และกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้อง รวมถึงขจัดการทุจริตประพฤติมิชอบ
4.ด้านภัยธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม จะเร่งติดตั้งเครื่องมือเตือนภัย และพัฒนาเครือข่ายเตือนภัยพิบัติในพื้นที่ความเสี่ยงสูง ส่งเสริมสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด และตั้งตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิต
5.ด้านการปฏิรูปกฎหมายการบริหารภาครัฐ โดยร่างกฎหมายเพื่อยกระดับการบริหารภาครัฐให้ทันสมัย เร่งปฏิรูป และยกเลิกกฎหมายที่เป็นอุปสรรค และสร้างภาระไม่จำเป็นให้ประชาชน
ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดประชุมทันทีหลังแถลงนโยบายเสร็จในวันที่ 30 ก.ย.2568 เวลา 18.00 น.โดยถือเป็นรัฐบาลมีอำนาจเต็มที่อนุมัติงบประมาณ และแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการได้
สำหรับวาระ ครม.จะพิจารณาการบริหารจัดการงบประมาณที่เหลือในงบกลางรายการสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉิน และจำเป็นเร่งด่วน พ.ศ.2568 ประมาณ 62,000 ล้านบาท เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
นายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ครม.นัดพิเศษ จะเตรียมความพร้อมงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจจากงบประมาณรายจ่ายปี 2568 ที่เหลือ 62,000 ล้านบาท เพื่อดำเนินการ 2 ส่วน คือ
1.นโยบาย คนละครึ่งพลัส จะจัดสรรงบส่วนแรก 22,000 ล้านบาท เพื่อโอนเงินเข้ากองทุนสวัสดิการแห่งรัฐเพื่อเศรษฐกิจ และสังคม สำหรับโครงการคนละครึ่งให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 13 ล้านคน
2.ชำระหนี้รัฐบาลให้ธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ 35,000 ล้านบาท โดยรัฐบาลชำระหนี้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) จากโครงการในอดีต เช่น จำนำข้าว และชดเชยมันสำปะหลัง รวมทั้งใช้หนี้ธนาคารเฉพาะกิจของรัฐแห่งอื่น
ทั้งนี้ การชำระหนี้ดังกล่าวเพื่อลดภาระหนี้ตามมาตรา 28 พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ ที่กำหนดเพดานหนี้ไม่เกิน 30% เพื่อเพิ่มช่องว่างทำโครงการใหม่ในปี 2569 ผ่านธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ ซึ่งจะทำให้รัฐบาลพักชำระหนี้ให้ประชาชนตามนโยบายที่กำหนด
นอกจากนี้ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาส รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เตรียมนโยบายแก้หนี้รายย่อย โดยมุ่งเป้าผู้มีหนี้ไม่เกินรายละ 100,000 บาท รวม 1-2 ล้านสิทธิ
สำหรับรูปแบบจะพักชำระหนี้ และรัฐบาลจะชดเชยดอกเบี้ยให้ ซึ่งผู้ร่วมโครงการจะครอบคลุมผู้เป็นหนี้ธนาคารรัฐ เช่น ธ.ก.ส. ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน และธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) โดยจะพักชำระหนี้ และรัฐบาลจะชดเชยดอกเบี้ยให้ รวมทั้งจะมีแนวทางการแก้หนี้เสีย (NPL) เพิ่มเติม
เปิดที่มาวงเงินคนละครึ่ง 6 หมื่นล้าน
นายภราดร กล่าวว่า โครงการคนละครึ่งพลัส จะใช้งบประมาณรวม 60,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่
1.กลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 13 ล้านคน จะได้รับการสนับสนุนเพิ่ม 1,700 บาทต่อเดือน รวมกับเงินเดิม 300 บาท ทำให้ได้รับรวม 2,000 บาทต่อเดือน ในงวดเดียว โดยไม่ต้องลงทะเบียนใหม่ ส่วนนี้ใช้งบประมาณ 22,000 ล้านบาท ซึ่งมาจากเงินเหลือจ่ายของงบประมาณปี 2568 ที่จะโอนเข้ากองทุนสวัสดิการแห่งรัฐ
2.กลุ่มผู้อยู่ในระบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 11 ล้านคน ที่ยื่นแบบภาษีจะได้รับสิทธิเพิ่มจากเดิม 50:50 เป็น 60:40 โดยจะสมทบ 2,400 บาท และประชาชนเติมเงินอีก 2,000 บาท ใช้จ่ายวันละไม่เกิน 200 บาท โดยเป็นกลุ่มได้วงเงินใช้จ่ายสูงสุดเพื่อเป็นแรงจูงใจ
3.กลุ่มผู้อยู่นอกระบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 9 ล้านคน ได้รับการเติมเงิน 2,000 บาท
สำหรับงบประมาณที่ใช้ของกลุ่มที่ 2-3 รวมประมาณ 40,000 ล้านบาท และจะใช้เงินงบประมาณในปีงบประมาณ 2569
ทั้งนี้ รัฐบาลจะเปิดให้ลงทะเบียนใหม่ต้นเดือนต.ค.แต่ผู้เคยเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งเฟส 5 ไม่ต้องลงทะเบียนใหม่ ขณะที่ผู้ที่อยู่ในเฟสก่อนหน้าหรือไม่เคยเข้าร่วมต้องลงทะเบียนใหม่ โดยเริ่มใช้เงินได้ปลายเดือนต.ค.นี้ ใช้แอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” เช่นเดิม
หวั่นเศรษฐกิจถดถอยเชิงเทคนิค
ดร.ยรรยง ไทยเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานวิจัยเศรษฐกิจ และความยั่งยืน ,ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) กล่าวว่า ล่าสุด EIC ยังประเมินภาพเศรษฐกิจไทยที่คงเดิม 1.8% และปีหน้าที่ 1.5% ซึ่งเป็นระดับต่ำหากเทียบอดีต โดยเฉพาะครึ่งปีหลังที่เศรษฐกิจไทยขยายตัวไม่ถึง 1% และไตรมาส 3 มีโอกาสจะติดลบหากเทียบไตรมาสก่อนหน้า
ดังนั้นมีความเสี่ยงสูงที่เศรษฐกิจไทยจะเข้าสู่ภาวะถดถอยเชิงเทคนิค (Technical Recession) จากแรงส่งของการส่งออกหายไป ทำให้เศรษฐกิจชะลอลงชัดเจนตั้งแต่ครึ่งปีหลังถึงปี 2569
“เศรษฐกิจปีนี้ และปีหน้าถือว่าต่ำค่อนข้างมากหากเปรียบเทียบอดีตที่เคยโต 3% หรือ 2% ปลายๆ แต่ช่วง 4-5 ปีหลังโควิดนี้ การเติบโตเฉลี่ย 2.0-2.1% สถานการณ์ปัจจุบันอาจเป็น new reality และกำลังเข้าสู่ another reality ที่การเติบโตอาจไม่ถึง 2% ทั้งสองปีต่อเนื่อง”
ห่วงบาทแข็งฉุดไทยเสียเปรียบภูมิภาค
นอกจากนี้ปัจจัยที่น่าห่วง คือ สถานการณ์เงินบาทแข็งค่ามากขึ้น โดยเดือนก.ย.เงินบาทแข็งค่าสุดรอบ 4 ปี หรือเกือบ 8% และเทียบคู่ค้าคู่แข่ง หรือ ดัชนีค่าเงินบาท (NEER) พบว่าดัชนีค่าเงินบาทแข็งขึ้นต่อเนื่องจนแตะระดับแข็งค่าใกล้เคียงปี 1997 ทำให้แต้มต่อค่าเงินบาทที่เคยอ่อนมาตั้งแต่ปี 1997 หายไปแล้ว
ทั้งนี้ เงินบาทแข็งค่าสร้างแรงกดดันต่อการส่งออก และการท่องเที่ยว เนื่องจากหากเทียบกับสกุลเงินในภูมิภาค เช่น เวียดนามเงินอ่อนค่าลง 3% ทำให้ปัจจุบันไทยเสียเปรียบคู่แข่ง 10-11%
ขณะที่ภาคท่องเที่ยว เงินบาทที่แข็งค่ายังกระทบต่อการดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ และปัจจุบันเริ่มเห็นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเริ่มติดลบ หรือ bottom out แล้ว
“วันนี้ที่น่าห่วงคือ การแข็งค่าของเงินบาท ที่เร่งตัวมากขึ้น ยิ่งเศรษฐกิจไม่ดี เงินบาทต้องอ่อนค่า แต่ตอนนี้ตรงกันข้ามเศรษฐกิจไม่ดี เงินยิ่งแข็งค่า ส่งออกก็แย่ ท่องเที่ยวก็ลำบาก สิ่งเหล่านี้ท้ายที่สุดอาจทำให้เราเผชิญกับช็อก หรือ Shock amplifier ที่รุนแรงมากขึ้น”
นอกจากนี้ หากแข็งค่าของเงินบาทยังส่งผลให้เห็นผ่านทุนสำรองระหว่างประเทศที่สูงขึ้น ซึ่งอาจมาจากหลายสาเหตุทั้งการเข้าไปดูแลเงินบาทของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อชะลอการแข็งค่า และมาจากการตีมูลค่าสินทรัพย์ในทุนสำรองเพิ่มขึ้น
สำหรับสิ่งที่น่าห่วง คือ ไทยอาจถูกจับตาจากสหรัฐเกี่ยวกับ FX Manipulation หากดูจาก 3 เงื่อนไขวันนี้ไทยเข้าแล้ว 2 เงื่อนไข คือ เกินดุลบัญชีเดินสะพัดเกิน 3% และเกินดุลการค้ากับสหรัฐเกิน 15,000 ล้านดอลลาร์ และตัวที่ 3 ที่ต้องจับตา คือ การเข้าซื้อ Reserve ในทิศทางเดียวเกิน 2% ของจีดีพี ดังนั้นต้องติดตามใกล้ชิด
หวั่นไทยติดกับดักเงินฝืดจาก “หนี้”
นอกจากนี้ปัจจัยที่น่าห่วงถัดมาคือ เงินเฟ้อที่ติดลบ และต่ำต่อเนื่อง 5 เดือนติดต่อกัน ทั้งปีคาดการณ์อยู่ที่ 0.1% ซึ่งต่ำกว่าขอบล่างของเป้าหมายแบงก์ชาติ 1-3% ซึ่งน่าห่วงเพราะหากเงินเฟ้อต่ำเกินไปหรือติดลบไม่ใช่เรื่องดีต่อเศรษฐกิจ เพราะไม่เอื้อลงทุน และการจ้างงาน
รวมทั้งหากเงินเฟ้อติดลบต่อเนื่องจะนำไปสู่วงจรที่ไม่ดี เช่น ค่าจ้างไม่ขึ้น การจ้างงานน้อย สะท้อนธุรกิจกำไรลดลง สุดท้ายเราอาจเข้าสู่ Debt Deflation ภาวะเงินฝืดที่มาจากหนี้ได้ ซึ่งจะทำให้กำลังซื้อลดลง ธุรกิจกำไรน้อยลง ที่ถือเป็นวงจรที่ต้องระวัง
อีกปัจจัยที่เครดิตเรตติ้งห่วงคือ ข้อจำกัดทางการคลัง และหนี้สาธารณะ ปัจจุบันมีข้อจำกัดอยู่ที่ไม่เกิน 70% แต่ EIC มองว่า ภายในปี 2570 หนี้สาธารณะต่อจีดีพีจะเกินระดับ 70% ได้ หากไม่เร่งไม่ปฏิรูปรายจ่าย โดยลดประชานิยม ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ใช้จ่ายเพื่อปรับโครงสร้างเศรษฐกิจมากขึ้นฯลฯ
“แม้รัฐบาลเข้ามาเพียง 4 เดือน แต่ควรเริ่มพูดถึงการปฏิรูปภาคการคลัง ควรพูดต่อสาธารณชน และเครดิตเรตติ้งมากขึ้นว่าหนี้สาธารณะทะลุ 70% แน่ๆ แต่จะเป็นการทะลุชั่วคราว และสุดท้ายเส้นหนี้จะ Stabilize ลงมาได้ เพราะสิ่งที่เครดิตเรตติ้ง ต้องการ คือ แผนที่ชัดเจนที่ไทยยังไม่มีการสื่อสาร สุดท้ายหากไทยถูกดาวน์เกรดประเทศจริงผลที่ตามมา คือ ต้นทุนการเงินสูงขึ้น 20-40 Basic Point โดยเฉพาะภาคเอกชนรายใหญ่ที่กู้ต่างประเทศ”
เอสเอ็มอีเปราะบาง-รายใหญ่เริ่มน่าห่วง
สำหรับปัจจัยที่น่าห่วงยังมาจากเศรษฐกิจในประเทศ และหนี้ครัวเรือน และความเปราะบางของภาคธุรกิจเอสเอ็มอี ที่ปัจจุบันการฟื้นตัวยังคงเป็น K-Shape ตั้งแต่โควิดเป็นต้นมา สะท้อนรายได้หรือกำไรของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ยังอยู่ระดับต่ำกว่าก่อนโควิด
อีกทั้งปัจจุบันยังพบว่า สัดส่วนของ Zombie Firms คือ ธุรกิจที่กำไรไม่เพียงพอต่อการจ่ายดอกเบี้ย โดยเฉพาะในกลุ่ม SME ปรับตัวสูงขึ้น เช่นเดียวกับธุรกิจขนาดใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ที่ความสามารถในการทำกำไรลดลงต่อเนื่อง หากเทียบกับก่อนโควิด เหล่านี้จึงเป็นสาเหตุว่า ทำไมตลาดหุ้นไทยจึงค่อนข้างตามหลังมาก เพราะวันนี้ปัญหาอาจไม่ได้จำกัดอยู่เพียงธุรกิจขนาดเล็กอีกต่อไป
ส่วนภาคแรงงาน อัตราการว่างงานเริ่มขยับสูงขึ้น แม้ตัวเลขรวมอาจจะยังอยู่ใกล้ 1% แต่หากดูอัตราการว่างงานของกลุ่มประกันสังคมจะเริ่มสูงกว่า 2% แล้ว และมีแนวโน้มสูงขึ้น ที่น่ากังวลที่สุดคือ อัตราการว่างงานเด็กจบใหม่ระดับปริญญาตรี ตัวเลขขึ้นไปสูงถึงเกือบ 17-18% หากคนรุ่นใหม่ไม่มีงานทำอาจนำไปสู่การสูญเสียทักษะ และประสบการณ์ และอาจทำให้เด็กเหล่านี้เข้าสู่ Informal Economy มากขึ้น
สำหรับภาพเศรษฐกิจที่ชะลอ มองว่าอาจเป็นปัจจัยเอื้อให้เห็น การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้ 1 ครั้งปีนี้ในเดือนธ.ค.นี้ ที่ 0.25%
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







