‘ธรรมนัส’เร่ง4เดือนต่อรอง‘ภาษีสหรัฐ’ลดผลกระทบสินค้าเกษตรในประเทศ

‘ธรรมนัส’เร่ง4เดือนต่อรอง‘ภาษีสหรัฐ’ลดผลกระทบสินค้าเกษตรในประเทศ

ธรรมนัส ลั่นพร้อมต่อรองสหรัฐปมภาษีหวังลดผลกระทบสินค้าเกษตรในประเทศ พร้อมเปิด 3 เงื่อนไขเปิดตลาดสินค้าเกษตรให้สหรัฐ ทั้งผลิตไม่พอ สอดคล้องข้อตกลงการค้า และเป็นวัตถุดิบจำเป็นนำเข้า

เศรษฐกิจประเทศไทยกำลังได้รับผลกระทบจากปัจจัยเสี่ยงจากภายนอกที่รุนแรงและยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนหลังจาก 7 ก.ค. 2568 สหรัฐ ออกคำสั่งฝ่ายบริหารขยายเวลาการปรับขึ้นภาษีศุลกากร ในอัตรา 10% ออกไปจนถึงเวลา 00.01 น. (ตามเวลาฝั่งตะวันออก ของสหรัฐ) ของวันที่ 1 ส.ค. 68

     ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ ระบุถึง ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงประกาศหนังสือจากทำเนียบขาว (Whitehouse) ลงบนสื่อสังคมออนไลน์Truth Social แจ้งการปรับขึ้น อัตราภาษีต่างตอบแทน (Reciprocal Tariff) ที่มีผลใช้บังคับตั้งแต่ วันที่ 1 ส.ค. 2568 ไปยัง 14 ประเทศ รวมถึงไทย ได้แก่ 

เมียนมา 40% สปป.ลาว  40%  ไทย 36% กัมพูชา  36%  เซอร์เบีย  35% บังกลาเทศ 35% อินโดนีเซีย 32% บอสเนียและเฮอร์- เซโกวีนา 30% แอฟริกาใต้30% ญี่ปุ่น 25% เกาหลีใต้25% มาเลเซีย 25% ตูนิเซีย 25% และคาซัคสถาน 25%

จากนั้น ในวันที่ 31 ก.ค. 2568  ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหาร (Executive Order) แจ้งอัตราภาษีต่างตอบแทน (Reciprocal Tariff) ฉบับใหม่ ตามเอกสารแนบท้าย Annex I ซึ่งสินค้าไทยได้รับอัตราภาษี ต่างตอบแทนอยู่ที่ 19% ขณะเดียวกันยังได้กำหนดอัตราภาษี ต่างตอบแทนสำหรับสินค้าที่ Transshipment แล้วส่งออกไปยัง สหรัฐไว้ที่ 40% สำหรับอัตราภาษีต่างตอบแทนของสินค้า ที่นำเข้าจากประเทศที่อยู่นอกเหนือจากรายการใน Annex I จะถูกเรียกเก็บในอัตรา 10%

‘ธรรมนัส’เร่ง4เดือนต่อรอง‘ภาษีสหรัฐ’ลดผลกระทบสินค้าเกษตรในประเทศ

‘ธรรมนัส’แจงงานสำคัญทำใน4เดือน

ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเดินทางเข้ากราบสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า จะเดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายด่วนภายในระยะเวลา 4 เดือน ต่อเนื่องที่เคยดำเนินการมา ซึ่งจะเน้นให้ความสำคัญไปที่การแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ปัญหาต้นทุนการผลิตสูง ปัญหาเรื่องการต่อรองภาษีกับสหรัฐที่จะกระทบต่อสินค้าเกษตรภายในประเทศ 

ปัญหาความไม่สงบตามแนวชายแดน ปัญหาเรื่องการปราบปรามสินค้าเกษตรเถื่อนนำเข้าผิดกฎหมาย โดยจะเปลี่ยนแปลงคณะทำงานชุดพญานาคราช นำบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาดำเนินการ เพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมมากที่สุด

ส่วนการแก้ไขปัญหาราคายางตกต่ำ ที่จะมีนโยบายทำให้ราคายางพุ่งไปถึงตัวเลข 3 หลักนั้น ในวันที่ 2 ต.ค. 2568 หลังจากแถลงนโยบายต่อรัฐสภา และมอบนโยบายต่อข้าราชการกระทรวงเกษตรฯแล้ว ทางกระทรวงฯ จะมีการลงนามบันทึกข้อตกลง ระหว่างการยางแห่งประเทศไทย(กยท.) กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เพื่อรับซื้อผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์ จากกยท.เท่านั้น รวมไปถึงให้หน่วยงานในสังกัดที่มีการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับยางพารา จะต้องใช้ผลิตภัณฑ์ยางของกยท.ทั้งหมด ตลอดจนจะมีการขยายตลาดยางไปสู่ต่างประเทศ ซึ่งตนจะเดินทางไปเจรจากับประเทศผู้ค้าสำคัญ โดยเฉพาะประเทศจีน ย้ำว่า ภายในกรอบระยะเวลา 4 เดือนสินค้าเกษตร ในภาพรวมจะต้องมีราคาเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน

ภารกิจเจรจาภาษีการค้ากับสหรัฐ

“แม้กรอบเวลาการทำงานของรัฐบาลชุดนี้จะมีไม่มาก แต่ยืนยันว่า​ การดำเนินนโยบายด้านการเกษตรที่พรรค​กล้า​ธรรม​ได้เดินหน้า​ต่อเนื่อง​สามารถสานต่อให้เกิดผลรูปธรรมได้ทันที โดยเฉพาะการแก้ปัญหาที่เกษตรกรเผชิญอยู่ในปัจจุบัน ทั้งราคาผลผลิตตกต่ำ ต้นทุนการผลิตสูง รวมถึงการเจรจาภาษีการค้ากับสหรัฐ และการค้าขายชายแดนที่ได้​รับผลกระทบ​จาก​ความตึง​เครียด​ชายแดน​ไทย​-กัมพูชา แม้กรอบระยะเวลาบริหาร​งานของ​รัฐบาล​มีจำกัด​ ก็จะขอให้​ดูผลสำเร็จ​จาก​ Quick Big Win ที่​ผม​ทำ"

อย่างไรก็ตามในส่วนปัญหาเรื่องข้าวนั้นมาตรการระยะสั้น กระทรวงเกษตรฯ จะเร่งรองรับราคาข้าวนาปี โดยใช้แนวทางที่เคยดำเนินการ เช่น การชะลอการขายข้าว พร้อมเดินหน้าขยายตลาดส่งออก โดยเฉพาะประเทศจีนที่อยู่ระหว่างการเจรจา ทั้งนี้ยังได้กำชับเข้มงวดต่อการลักลอบนำเข้าสินค้าเกษตรทุกประเภท โดยประสานงานกับ ปปง. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการอย่างจริงจัง

ร้อยเอก ธรรมนัส กล่าวอีกว่าสำหรับปัญหาเร่งด่วนอีก​ประการ​คือ การบรรเทาอุทกภัย​ โดยที่ผ่านมาได้ลงพื้นที่ตรวจสอบสถานการณ์น้ำลุ่มน้ำยมแบะเจ้าพระยา​ ทั้งที่เขื่อนเจ้าพระยา เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ และเขื่อนพระราม 6 เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือ “พายุบัวลอย” ที่จะส่งผลกระทบในช่วงนี้ พร้อมเสนอแนวทางแก้ปัญหาระยะยาวเช่น การก่อสร้างถนนคันกั้นน้ำริมแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งจะช่วยป้องกันน้ำท่วมซ้ำซาก​ ตลอดจนผลักดัน​โครงการก่อสร้างระบบ​ระบายน้ำคลองบางบาล-บาง​ไทรด้วย

เงื่อนไข 3 ข้อเปิดตลาดสินค้าเกษตร 

รายงานข่าวจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ระบุถึงผลการเจรจาภาษีต่างตอบแทน (Reciprocal Tariff) ระหว่างประเทศไทยและสหรัฐว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประกอบด้วย สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร(สศก.) กรมปศุสัตว์ กรมประมง กรมวิชาการเกษตร และสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ(มกอช.) ได้เข้าร่วมในการกำหนดท่าทีภาคการเกษตรของไทย โดยมีกระทรวงพาณิชย์ในฐานะฝ่ายเลขานุการ ในการเจรจาที่ผ่านมา 

สำหรับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เสนอท่าทีและยึดมั่นในหลักการสำคัญเพื่อปกป้องภาคการเกษตรของประเทศอย่างถึงที่สุด คือ

1.ต้องเกิดผลกระทบน้อยที่สุด การเปิดตลาดใดๆ ต้องไม่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพด้านราคาและการรับซื้อผลผลิตของเกษตรกรในประเทศ 

    2.ต้องมีมาตรการรองรับที่ชัดเจน รัฐบาลจำเป็นต้องมีมาตรการที่พร้อมจะนำมาใช้ได้ทันที เพื่อรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับเกษตรกรในสินค้าแต่ละรายการ และ 3.ต้องเป็นไปตามกฎระเบียบของไทย การดำเนินการทุกขั้นตอนต้องสอดคล้องกับกฎหมายและกฎระเบียบของไทย โดยเฉพาะมาตรการด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช (SPS) เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภคและไม่ให้กระทบต่อการค้ากับประเทศคู่ค้าอื่นๆ

ชี้สินค้าเกษตรไทยยังเเข่งขันได้ 

นอกจากนี้ ไทยยังยึดหลักการพิจารณาการเปิดตลาดสินค้าเกษตรให้สหรัฐ ดังนี้ 1.เป็นสินค้าที่ไทยไม่ผลิต หรือผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ในประเทศ 2.เป็นการดำเนินการที่สอดคล้องกับกรอบความตกลงการค้าเสรี (FTA) ที่ไทยเคยเจรจาไว้แล้ว 3.เป็นสินค้าที่ผู้ประกอบการไทยเรียกร้องให้นำเข้าเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบ อาทิ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และถั่วเหลือง และจะไม่เป็นการเปิดตลาดโดยทันที แต่ให้มีระยะเวลาในการทยอยเปิดตลาดสำหรับสินค้าบางรายการ

อย่างไรก็ตาม แม้จะต้องเผชิญกับอัตราภาษีใหม่ แต่เมื่อวิเคราะห์ในรายละเอียด อัตราภาษี 19% ที่ไทยได้รับนั้น ส่งผลให้ภาพรวมการแข่งขันทางการค้าของไทยในตลาดสหรัฐ ยังสามารถแข่งขันได้ โดยเฉพาะในสินค้าที่ไทยมีศักยภาพและส่วนแบ่งการตลาดสูงอยู่แล้วไทยมีความได้เปรียบประเทศคู่แข่งที่ถูกเรียกเก็บภาษีในอัตราที่สูงกว่า

‘ธรรมนัส’เร่ง4เดือนต่อรอง‘ภาษีสหรัฐ’ลดผลกระทบสินค้าเกษตรในประเทศ

โดยเฉพาะในสินค้าสำคัญอย่าง ข้าวปลายข้าวและมะพร้าวอ่อนสด และไทยยังรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันได้สำหรับสินค้าที่ประเทศคู่แข่งได้รับอัตราภาษีในระดับใกล้เคียงกับไทย เช่น ยางธรรมชาติยางแผ่นรมควันและเนื้อปลาทูน่า-สคิปแจ็คแช่แข็ง ไทยยังคงสามารถรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันไว้ได้เป็นอย่างดี รวมถึงการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านซึ่งมีอัตราภาษีไม่แตกต่างกันมากนักอย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรฯ ตระหนักดีว่าการเปิดตลาดอาจส่งผลกระทบต่อสินค้าเกษตรในประเทศบางรายการ อาทิ เนื้อโค และผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์ ซึ่งอาจมีสินค้าจากสหรัฐ เข้ามาในปริมาณที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีมาตรการรองรับผลกระทบจากการเปิดตลาดอย่างรอบคอบ