รัฐลุยแก้ NPL สหกรณ์ 5 หมื่นล้าน ปรับโครงสร้างหนี้-ดันรายได้เกษตรกร

รัฐลุยแก้ NPL สหกรณ์ 5 หมื่นล้าน ปรับโครงสร้างหนี้-ดันรายได้เกษตรกร

“สหกรณ์” เป็นอีกแหล่งเงินทุนในระบบที่สำคัญและได้รับผลกระทบอย่างชัดเจนจากภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน จะเห็นได้จากตัวเลขการผิดนัดชำระหนี้ (NPL) เพิ่มสูงขึ้นช่วงภายหลังการระบาดของโควิด-19

KEY

POINTS

  •   สหกรณ์ภาคการเกษตร  เป็นหนี้ NPL รวม 51,000 ล้านบาท คิดเป็น 47% ของมูลหนี้ทั้งหมด
  • สหกรณ์นอกภาคการเกษตร  มีหนี้รวม 2.27 ล้านล้านบาท มากกว่าสหกรณ์ภาคการเกษตร 10 เท่า  เป็นNPL  เพียง 1%  
  • หนี้สหกรณ์ไม่มีโอกาสจะล้มเป็นโดมิโน่กระชากให้เศรษฐกิจของประเทศล้มตามได้ 

นายวิศิษฐ์  ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์   กล่าวกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า การดำเนินธุรกิจสหกรณ์ปัจจุบันแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ตามลักษณะการดำเนินธุรกิจที่ต่างกัน การดูแลของกรมส่งเสริมสหกรณ์ในการแก้ปัญหาหนี้จึงมีมาตรการต่างกัน แต่ภาพรวมมีเป้าหมายบรรเทาและลดภาระหนี้ของสมาชิกเป็นสำคัญ คือ 

1.สหกรณ์ภาคการเกษตร ซึ่งเป็นสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตสินค้าเกษตรทั้งหมด ปัจจุบันปล่อยกู้ให้สมาชิก 1 ล้านราย มูลหนี้ประมาณ 200,000 ล้านบาท ในจำนวนนี้ มีสมาชิกประมาณ 470,000 คน เป็นหนี้ NPL รวม 51,000 ล้านบาท คิดเป็น 47% ของมูลหนี้ทั้งหมด

รัฐลุยแก้ NPL สหกรณ์ 5 หมื่นล้าน ปรับโครงสร้างหนี้-ดันรายได้เกษตรกร

ทั้งนี้ ถือเป็นเรื่องใหญ่ต้องเร่งแก้ไขเพราะสหกรณ์เมื่อปล่อยกู้ไปแล้วเก็บคืนไม่ได้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย ซึ่งทำให้สหกรณ์บางแห่งขาดทุนสะสม และเงินทุนสำรองก็หมดไปด้วยเป็นปัญหารุนแรงของสหกรณ์ภาคการเกษตรเพราะหนี้ NPLเกือบ 50% ของมูลหนี้

ส่วนสาเหตุหลักปัญหาดังกล่าวมาจากปัญหาหนี้ครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้น แสดงให้เห็นว่าประชาชนมีรายได้น้อยกว่ารายจ่าย ซึ่งเท่ากับรายได้สุทธิของประชาชนติดลบ ทำให้มีโอกาสน้อยในการเข้าถึงแหล่งเงินเพื่อนำมาเป็นทุนประกอบอาชีพ เช่น ธนาคารรัฐ ธนาคารพาณิชย์ โดยเฉพาะเกษตรกรที่มีรายได้ไม่แน่นอนและเสี่ยงในการประกอบอาชีพสูงที่มาจากภัยพิบัติ เช่น ภัยแล้ง น้ำท่วม

นอกจากนี้ปัญหาหนี้เป็นผลจากสหกรณ์บางแห่งปล่อยกู้เกินศักยภาพสมาชิกชำระได้ เพื่อระบายเงินที่รับฝากจากสมาชิกสมทบที่หวังดอกเบี้ย ทำให้สหกรณ์กู้มาชดเชยดอกเบี้ยเงินฝาก และการปล่อยกู้สมาชิกบางรายนำสินทรัพย์มาค้ำประกัน แต่ไม่นำเงินไปใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์จนเป็นหนี้เพิ่ม

รัฐลุยแก้ NPL สหกรณ์ 5 หมื่นล้าน ปรับโครงสร้างหนี้-ดันรายได้เกษตรกร

 

กรมส่งเสริมสหกรณ์กำหนดมาตรการตามปัญหาสหกรณ์แต่ละแห่ง คือ การปรับโครงสร้างหนี้ ขยายเวลาชำระหนี้ ส่งเสริมทำอาชีพเสริม หาตลาดรับซื้อผลผลิต แปรรูปสินค้าสร้างมูลค่า ส่งผลให้ NPL ลดลง 10,000 ล้านบาท จากทั้งสิ้น 51,000 ล้านบาท ดังนั้นต้องทำต่อเพื่อไม่ให้เป็นปัญหาข้ามรุ่น

ทั้งนี้การแก้ปัญหาหนี้เกษตรกรยั่งยืนและเป็นระบบมีความจำเป็นโดยเฉพาะการยกระดับมาตรฐานกระบวนการให้สินเชื่อที่เข้มงวดขึ้น เพราะอาจกระทบการชำระหนี้และสภาพคล่องสหกรณ์ รวมถึงการปฏิบัติกับลูกหนี้อย่างเป็นธรรมครอบคลุมตลอดวงจรหนี้ควบคู่มาตรการสนับสนุนให้คิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ตามความเสี่ยง 

รวมทั้งต้องมีการ ปรับโครงสร้างหนี้"  เพื่อกระตุ้นการปรับวินัยการเงินการออมครัวเรือนให้ดีขึ้น เพิ่มช่องทางเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้เหมาะสม รวมถึงการส่งเสริมอาชีพให้มีรายได้ ซึ่งเป็นแนวทางสำคัญที่บรรเทาปัญหาหนี้สินเกษตรกรระยะยาว 

“การแก้ไขหนี้ต้องร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่าสถาบันการเงินระดับชุมชนโดยเฉพาะสหกรณ์เป็นแหล่งทุนที่เกษตรกรหวังพึ่งได้ดีกว่าเมื่อเทียบกู้หนี้นอกระบบ แต่โควิด-19 ภัยพิบัติธรรมชาติ เศรษฐกิจภาวะฟื้นตัว ต้นทุนการเงินสูงขึ้น พฤติกรรมก่อหนี้ขาดวินัยและสมาชิกมีหนี้หลายทาง ทำให้สหกรณ์จำนวนมากมีกำไรลดลง มีภาระหนี้ค้างของสมาชิกเพิ่มขึ้น”  

รวมทั้งแม้กรมส่งเสริมสหกรณ์จะใช้มาตการปรับโครงสร้างหนี้ แต่ยังมีสหกรณ์บางแห่งไม่ประสบผลสำเร็จ ส่วนใหญ่เป็นสหกรณ์ขนาดเล็กสายป่านไม่ยาวต้องยกเลิกกิจการไป 30 แห่ง คิดเป็น 1% ของสหกรณ์ภาคการเกษตร 3,500 แห่ง 

ส่วนสาเหตุการปล่อยกู้จะมากขึ้นหรือไม่มีผลจากเศรษฐกิจเป็นหลัก แต่กรณีสหกรณ์ปล่อยกู้ตรงวัตถุประสงค์ เกษตรกรขายผลผลิตได้มีรายได้พอชำระหนี้ตามนัดปัญหานี้จะหมดไป

2.สหกรณ์นอกภาคการเกษตร ส่วนใหญ่หมายถึงสหกรณ์ออมทรัพย์ มีหนี้รวม 2.27 ล้านล้านบาท มากกว่าสหกรณ์ภาคการเกษตร 10 เท่า มีผู้กู้มี 2 ล้านคน โดยผู้กู้ส่วนใหญ่มีเงินเดือนในหน่วยงานรัฐและเอกชน 

อีกทั้งกฎหมายกำหนดให้หักเงินเดือนชำระหนี้สหกรณ์ก่อนหนี้อื่นยกเว้นหนี้รัฐ ทำให้ NPL ในสหกรณ์นอกภาคการเกษตรมีเพียง 1% ของมูลหนี้รวมที่เกิดจากข้าราชการเกษียณอายุหรือพนักงานองค์กรที่พ้นสภาพแล้วไม่มีรายได้พอคืนหนี้ 

ส่วนการแก้ปัญหาของสหกรณ์แต่ละแห่งต้องวิเคราะห์การปล่อยกู้ตามกำลังสมาชิกที่คืนหนี้ได้หลังเกษียณ โดยปัญหาจะไม่เกิดหากสหกรณ์ไม่แสวงหารายได้จากดอกเบี้ยเงินกู้

ทั้งนี้บางสหกรณ์ใช้วิธีกำหนดมีผู้ค้ำประกันเงินกู้ 7-8 คน กรณีนี้เมื่อผู้กู้มีปัญหาจะเป็นภาระผู้ค้ำประกันบางคนโดนให้ออก ดังนั้นหลักสำคัญคณะกรรมการพิจารณาปล่อยกู้ต้องรัดกุมรอบคอบไม่ปล่อยกู้แบบวนซ้ำ ซึ่งวงเงินเฉลี่ยรายละ 2-4 ล้าน เป็นภาระผู้กู้มากเกินไป ขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ไม่เกิน 4.7% และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากไม่เกิน 3.5% ถือว่าเป็นอัตราที่เหมาะสม

ส่วนผู้เป็น NPLต้องปรับโครงสร้างหนี้ ขยายเวลาและให้มีเงินเหลือพอดำรงชีพ ซึ่งทำให้สมาชิกชำระหนี้ได้และสหกรณ์ไม่มีหนี้เสีย อย่างไรก็ตามสมาชิกที่เป็นหนี้มีหุ้นในสหกรณ์ หากเสียชีวิตก็หักกลบลบหนี้ได้ 

ดังนั้นเชื่อว่าไม่มีโอกาสจะล้มเป็นโดมิโน่กระชากให้เศรษฐกิจของประเทศล้มตามได้ โดยในภาพรวมหนี้ภาคสหกรณ์แม้เป็นจำนวนมาก แต่ด้วยสหกรณ์เป็นนิติบุคคล หากไม่แก้ปัญหาหนี้ได้จะกระทบเฉพาะสหกรณ์นั้นๆ 

 นายวิศิษฐ์ กล่าวว่า อันตราดอกเบี้ยเงินฝากสหกรณ์ยังจูงใจเงินไหลเข้า ดังนั้นจึงมีสถานการณ์เงินล้นระบบมีเงินทุนสะสมเกินความจำเป็นในการดำเนินงานปกติ ทำให้ต้องหาแนวทางบริหารจัดการเงินส่วนเกินนี้ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อสมาชิกและระบบเศรษฐกิจ 

รัฐลุยแก้ NPL สหกรณ์ 5 หมื่นล้าน ปรับโครงสร้างหนี้-ดันรายได้เกษตรกร

ทั้งนี้ ได้อนุญาตให้สหกรณ์นำเงินทุนส่วนเกินไปลงทุนสร้างรายได้และสร้างความเข้มแข็งสหกรณ์ เพื่อเปิดโอกาสและปลดล็อกให้สหกรณ์ลงทุนเพิ่มในกรณีไม่กระทบสหกรณ์ โดยวิเคราะห์ทั้งความเสี่ยงและการกระจายตัวการลงทุนตามเกณฑ์กำหนดจะไม่กระทบสมาชิกแต่จะมีผลดีกับสหกรณ์และสมาชิก ซึ่งปัจจุบันมีสหกรณ์ลงทุนซื้อหุ้น 700,000 ล้านบาท ภายใต้เงื่อนไขต้องลงทุนในบริษัทที่มีระดับความเชื่อมันไม่ต่ำกว่า A- 

“สหกรณ์ที่ทำตามคำแนะนำ ปฎิบัติตามเกณท์จะไม่มีปัญหา โอกาสล้มมีน้อยมาก กระบวนการสหกรณ์ที่ผิดพลาดและน่าเป็นห่วงมีเรื่องเดียวคือการทุจริตที่ป้องกันยาก กรมส่งเสริมสหกรณ์ใช้วิธีเฝ้าระวัง หากเห็นความผิดปกติทางบัญชีหรือความเสี่ยงอื่นจะมีเจ้าหน้าที่ตรวจสอบทันที”