‘อุตฯน้ำตาลโลก’ผันผวนกดดัน‘ไทย’ ปรับตัวรับดีมานด์ดูแลสังคม-สิ่งแวดล้อม

" อุตสาหกรรมน้ำตาลโลก" ยังคงผันผวนกดดันผลผลิตอ้อยในประเทศไทย ที่ต้องปรับตัวรับดีมานด์ รวมถึงการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม
อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลเป็นหนึ่งในกลไกหลักของเศรษฐกิจไทยที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ต่อทั้งภาคเกษตรและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง โดยครอบคลุมพื้นที่ปลูกกว่า 10 ล้านไร่ และเกษตรกรกว่า 300,000 ครัวเรือน สามารถเชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่การเพาะปลูก การแปรรูป ไปจนถึงผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อง เช่น เอทานอล พลังงานชีวมวล และกระดาษจากชานอ้อย ซึ่งไม่เพียงสร้างรายได้รวมกว่า 180,000 ล้านบาทต่อปี แต่ยังส่งผลต่อคุณภาพชีวิตชุมชนในหลายจังหวัด
นายใบน้อย สุวรรณชาตรี เลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) กล่าวว่า ประเทศไทยครองอันดับ 2 ของโลกในการส่งออกน้ำตาล รองจากบราซิล ซึ่งเป็นผู้นำด้วยกำลังการผลิตกว่า 600 ล้านตันต่อปี เทียบกับไทยที่ราว 94 ล้านตันต่อปี อีกทั้งบราซิลยังมีข้อได้เปรียบด้านฤดูผลิตที่ยาวนานกว่า 8 เดือนต่อปี ขณะที่ไทยผลิตได้เพียง 4 เดือน ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตของไทยสูงกว่าระดับเฉลี่ยโลก ที่ 18% ต่อปอนด์ เทียบกับบราซิล 13–15% ต่อปอนด์
เทรนด์ตลาดโลกมุ่งโจทย์สิ่งแวดล้อม
ข้อจำกัดนี้สะท้อนว่า ไทยจำเป็นต้องสร้าง “ความแตกต่างเชิงคุณภาพและความยั่งยืน” เพื่อตอบโจทย์ความต้องการตลาดโลกที่กำลังหันมาให้ความสำคัญกับมาตรฐานสิ่งแวดล้อม และความรับผิดชอบต่อสังคม มากกว่าการแข่งขันด้านราคาเพียงอย่างเดียว
หนึ่งในความท้าทายสำคัญคือการลดสัดส่วนอ้อยไฟไหม้ ซึ่งก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศและปัญหา PM2.5 โดยในปี 2561 อ้อยสดมีเพียง 35% แต่ด้วยมาตรการส่งเสริมจากภาครัฐและการลงทุนของเอกชน ปัจจุบันสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 90% และตั้งเป้าให้เหลืออ้อยไฟไหม้น้อยกว่า 10% ในฤดูการผลิตปี 2568/69
“มาตรการสนับสนุน เช่น เงินอุดหนุน 69 บาทต่อตันอ้อยสด การจัดหาเครื่องจักรสางใบอ้อย และการลงทุนในรถตัดอ้อย เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรปรับตัวสู่เกษตรสีเขียว ขณะเดียวกันยังเพิ่มความมั่นคงด้านวัตถุดิบแก่โรงงานน้ำตาล”
พลังงานสะอาดจัดการวัสดุเหลือใช้เกษตร
แหล่งข่าวจากกลุ่มมิตรผล กล่าวว่า บริษัทฯ ได้เร่งลงทุนใน “โรงไฟฟ้าชีวมวล” โดยใช้ชานอ้อย ใบอ้อย และฟางข้าวเป็นเชื้อเพลิงกำลังผลิตรวมหลาย 100 เมกะวัตต์ และบางแห่งยังมีการวางเป้าหมายขยายการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดเพิ่มขึ้น เช่น โรงงานน้ำตาลมิตรภูหลวง ผลิตได้กว่า 67 เมกะวัตต์ และจะเพิ่มอีก 30 เมกะวัตต์ในอนาคต
นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาในหลายมิติ ได้แก่ 1. พลังงานทดแทน โดยใช้โซลาร์ฟาร์มและไฟฟ้าจากชีวมวลเพื่อลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล 2. ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน ลดการใช้เอกสารกว่า 400,000 แผ่นต่อปี ด้วยแพลตฟอร์มดิจิทัล และเปลี่ยนรถฟอร์กลิฟต์จากใช้น้ำมันเป็นไฟฟ้า 3. ระบบโลจิสติกส์คาร์บอนต่ำ โดยขยายการใช้รถบรรทุกไฟฟ้า (EV) ในการขนส่งน้ำตาล รวมถึงการเชื่อมต่อท่าเรือแหลมฉบังด้วยหัวลากไฟฟ้า
พร้อมตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 42% ภายในปี 2573 (2030) และบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2593 (2050) โดยใช้แนวทาง “ลด–ใช้ซ้ำ–รีไซเคิล” ควบคู่กับการลงทุนด้านเทคโนโลยีและการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน
ข้อเสนอเชิงนโยบายฟาร์มอ้อยยั่งยืน
สำหรับข้อเสนอเชิงนโยบายแบ่งเป็น 1. ด้านเกษตรกรและการผลิตวัตถุดิบ โดยเพิ่มแรงจูงใจในการปลูกอ้อยสด ผ่านเงินอุดหนุนที่เหมาะสม และการสนับสนุนเครื่องจักรกลการเกษตร เช่น รถตัดอ้อย เครื่องสางใบอ้อย เพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานและลดต้นทุนการผลิต พร้อมขยายโครงการต้นแบบ “ฟาร์มอ้อยยั่งยืน” ในพื้นที่นำร่อง
โดยบูรณาการระบบน้ำชลประทาน การจัดการดิน และการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ เพื่อเพิ่มผลผลิตต่อไร่และลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม และสร้างกลไกประกันราคาอ้อย เพื่อลดความเสี่ยงด้านรายได้ของเกษตรกรจากความผันผวนของราคาตลาดโลก
2. ด้านโรงงานอุตสาหกรรมและห่วงโซ่อุปทาน ผ่านการสนับสนุนการลงทุนเทคโนโลยีสะอาด เช่น ระบบรีไซเคิลน้ำ ระบบพลังงานความร้อนร่วม และการใช้พลังงานไฟฟ้าจากโซลาร์ร่วมกับชีวมวล
การพัฒนาโมเดลเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) โดยแปรรูปของเสียจากการผลิต เช่น ชานอ้อย ใบอ้อย และเถ้าชานอ้อย เป็นปุ๋ย วัสดุก่อสร้าง หรือผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่ม และสร้างระบบตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability System) เพื่อรองรับมาตรฐานสิ่งแวดล้อมและการค้าในตลาดต่างประเทศ
เป้าหมายอ้อยสด95%ในปี2573
3. ด้านสิ่งแวดล้อมและพลังงาน โดยต่ออายุและปรับอัตรารับซื้อไฟฟ้าชีวมวล ให้อยู่ในระดับที่จูงใจเอกชน และสะท้อนต้นทุนจริง เพื่อให้โรงไฟฟ้าชีวมวลมีความยั่งยืนในระยะยาว พร้อมกำหนดเป้าหมายการลดอ้อยไฟไหม้แบบบังคับ (Regulation + Incentive) โดยตั้งเป้าอ้อยสดไม่ต่ำกว่า 95% ภายในปี 2573 พร้อมมาตรการลงโทษกรณีไม่ปฏิบัติตาม และพัฒนาแผนการบริหารจัดการน้ำเชิงพื้นที่ เพื่อรองรับความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ลดการแย่งน้ำระหว่างอุตสาหกรรมและชุมชน
4. ด้านนโยบายรัฐและการค้าโลก เพื่อกำหนดทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมอ้อย–น้ำตาล และพลังงานหมุนเวียนในระยะยาว โดยบูรณาการกับเป้าหมาย Net Zero ของประเทศ และใช้ FTA และการทูตการค้า เปิดตลาดน้ำตาลเขียว (Green Sugar) และผลิตภัณฑ์ชีวภาพในภูมิภาคเอเชีย–แปซิฟิก และตะวันออกกลาง ซึ่งมีความต้องการสูง
แนะตั้งกอลทุนวิจัย-นวัตกรรม
รวมถึงตั้งกองทุนวิจัยและนวัตกรรมอ้อยและน้ำตาล เพื่อสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ เช่น การปรับปรุงพันธุ์อ้อยทนแล้ง การผลิตเอทานอลขั้นสูง และผลิตภัณฑ์ชีวเคมี รวมถึงสร้างแพลตฟอร์มข้อมูลกลาง (Data Platform) เพื่อรวบรวมข้อมูลการผลิต การปล่อยคาร์บอน และการใช้พลังงานของอุตสาหกรรม ช่วยเพิ่มความโปร่งใส และเสริมความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนและคู่ค้าต่างประเทศ
“ประเด็นสำคัญที่ภาคเอกชนกังวลคือการทยอยหมดอายุของสัญญาซื้อไฟฟ้าชีวมวล (Adder) โดยหากไม่มีการต่ออายุสัญญาหรือกำหนดอัตรารับซื้อไฟฟ้าที่เหมาะสม อาจกระทบต่อความคุ้มค่าการลงทุน ขณะที่ตลาดโลกเองยังมีแรงกดดันจากข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ซึ่งทำให้การแข่งขันด้านราคาน้ำตาลรุนแรงมากขึ้น”
ดังนั้น รัฐจึงควรกำหนดกรอบนโยบายพลังงานหมุนเวียนระยะยาวที่ชัดเจน เพื่อสร้างความมั่นใจในการลงทุนของภาคเอกชน พร้อมทั้งพิจารณามาตรการสนับสนุนเชิงโครงสร้าง เช่น เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำสำหรับเครื่องจักรกลการเกษตร และมาตรการจูงใจเกษตรกรที่ผลิตอ้อยสดคุณภาพสูง
อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลไทยกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ หากสามารถเดินหน้าตามยุทธศาสตร์ “เกษตรอุตสาหกรรมสีเขียว” ไทยจะไม่เพียงรักษาตำแหน่งผู้นำการส่งออกน้ำตาลในเวทีโลก แต่ยังสร้างภาพลักษณ์ใหม่ของประเทศในฐานะผู้ผลิตที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน







